คุณเคยตื่นขึ้นกลางดึกพร้อมอาการปวดข้อที่รุนแรงเฉียบพลัน บวมแดง และแสบร้อนคล้ายถูกไฟลวกหรือไม่? นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคเก๊าท์ ภัยเงียบที่หลายคนมองข้าม บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจ โรคเก๊าท์ อย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่สาเหตุ อาการ ไปจนถึงวิธีบรรเทาอาการปวดเก๊าท์ และแนวทางการรักษาที่ถูกต้อง เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคุณ
โรคเก๊าท์คืออะไร
โรคเก๊าท์ คือหนึ่งในรูปแบบของโรคข้ออักเสบที่พบได้บ่อย เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แม้ส่วนใหญ่จะเกิดในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง แต่ผู้หญิงก็สามารถเป็นได้ โดยเฉพาะในวัยหมดประจำเดือน ผู้ป่วยโรคเก๊าท์มักมีอาการปวดข้อที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่วมกับอาการบวม แดง และร้อนบริเวณข้อต่อที่อักเสบ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักจะเริ่มที่ข้อนิ้วหัวแม่เท้าเป็นอันดับแรก แต่ก็สามารถเกิดกับข้ออื่น ๆ ได้เช่นกัน
อาการของโรคเก๊าท์
อาการของโรคเก๊าท์มักจะมาแบบฉับพลัน ทำให้รู้สึกปวดข้ออย่างรุนแรงและเฉียบพลัน จนบางครั้งไม่สามารถทนแม้แต่แรงกดเพียงเล็กน้อยจากผ้าห่มได้ อาการปวดมักรุนแรงที่สุดในช่วง 4-12 ชั่วโมงแรกที่เริ่มมีอาการ ข้อที่อักเสบจะรู้สึกร้อนจัด บวม และผิวหนังบริเวณนั้นอาจมีสีแดงเข้มหรือแวววาว
โดยทั่วไป อาการปวดข้อจากโรคเก๊าท์ อาจคงอยู่ได้ตั้งแต่ 2-3 วัน ไปจนถึง 2-3 สัปดาห์ ก่อนจะค่อย ๆ ทุเลาลงเองตามลำดับ อย่างไรก็ตาม หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาการกำเริบซ้ำในอนาคตมีแนวโน้มที่จะรุนแรงมากขึ้น และอาจเกิดขึ้นพร้อมกันในข้ออื่น ๆ เพิ่มเติมได้ เช่น ปวดข้อเท้า หรือแม้กระทั่ง ปวดหัวเข่า ซึ่งอาจทำให้เกิดความสไม่สบายและกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
โรคเก๊าท์ เกิดจากอะไร
โรคเก๊าท์ เกิดจากการที่ร่างกายมีระดับกรดยูริกในกระแสเลือดสูงเกินปกติ ทำให้กรดยูริกตกผลึกสะสมในข้อต่อต่าง ๆ ของร่างกาย ผลึกเหล่านี้มีลักษณะคล้ายเข็มแหลมคม ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการอักเสบและอาการปวดอย่างรุนแรง
กรดยูริกเกิดจากการสลายตัวของสารพิวรีน ซึ่งพบได้ทั้งในอาหารที่เราบริโภคเข้าไปและจากกระบวนการภายในร่างกายเอง ปกติแล้วไตจะทำหน้าที่ขับกรดยูริกส่วนเกินออกจากร่างกายทางปัสสาวะ แต่เมื่อใดที่ร่างกายสร้างกรดยูริกมากเกินไป หรือไตขับออกได้ไม่เพียงพอ ระดับกรดยูริกในเลือดก็จะสูงขึ้น จนนำไปสู่การตกผลึกและเกิดโรคเก๊าท์ในที่สุด
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคเก๊าท์
การมีระดับกรดยูริกในร่างกายที่สูงเกินไปเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่เพิ่มโอกาสในการเป็นโรคเก๊าท์ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องดังนี้
- อาหารและเครื่องดื่ม: การบริโภคอาหารที่มีสารพิวรีนสูงเป็นประจำ เช่น เนื้อแดง เครื่องในสัตว์ (ตับ ไต) และอาหารทะเลบางชนิด (กุ้ง หอย ปู ปลาซาร์ดีน ปลาทูน่า) รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเบียร์ และเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาลฟรุกโตส จะเพิ่มระดับกรดยูริกในร่างกายได้
- เพศและอายุ: ผู้ชายมีความเสี่ยงต่อโรคเก๊าท์มากกว่าผู้หญิงถึง 4-10 เท่า และความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตามอายุ โดยเฉพาะในผู้ชายช่วงวัยกลางคนขึ้นไป ส่วนในผู้หญิงมักจะพบได้บ่อยขึ้นหลังวัยหมดประจำเดือน
- น้ำหนักตัว: การมีน้ำหนักเกินมาตรฐานหรือเป็นโรคอ้วน ทำให้ร่างกายสร้างกรดยูริกเพิ่มขึ้น และขับกรดยูริกออกได้น้อยลง ซึ่งอาจนำไปสู่โรคเก๊าท์ได้เร็วขึ้นในอายุน้อย
- โรคประจำตัว: ผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ภาวะไขมันในเลือดสูง กลุ่มอาการทางเมตาบอลิซึม (Metabolic Syndrome) โรคหัวใจ และโรคไต มีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป
- พันธุกรรม: หากมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคเก๊าท์ก็จะเพิ่มโอกาสในการเป็นโรคนี้ได้เช่นกัน
ภาวะแทรกซ้อนของโรคเก๊าท์
หากโรคเก๊าท์ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาวได้
- ข้ออักเสบเรื้อรังและข้อถูกทำลาย: หากปล่อยให้โรคเก๊าท์กำเริบขึ้นซ้ำ ๆ โดยไม่ได้รับการรักษา ยูเรตคริสตัลจะสะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง และทำลายกระดูกอ่อนและกระดูกบริเวณข้อต่ออย่างถาวร ส่งผลให้ข้อผิดรูปและจำกัดการเคลื่อนไหว ซึ่งบางครั้งอาจส่งผลให้เกิดอาการปวดเข่าในวัยรุ่น หรือปวดหัวเข่าข้างขวา เรื้อรังได้หากโรคเก๊าท์ เกิดขึ้นที่ข้อเข่า
- ปุ่มโทฟัส (Tophi): เป็นการสะสมของผลึกยูเรตใต้ผิวหนังในรูปของก้อนแข็ง ๆ ซึ่งมักพบได้บริเวณนิ้ว มือ เท้า ข้อศอก และเอ็นร้อยหวายหลังข้อเท้า โดยทั่วไปก้อนโทฟัสจะไม่มีอาการเจ็บปวด แต่หากเกิดการอักเสบซ้ำซ้อนก็อาจทำให้ก้อนบวมและเจ็บได้
- นิ่วในไต: ระดับกรดยูริกที่สูงในเลือดเป็นเวลานาน อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดนิ่วในไต ซึ่งก่อให้เกิดอาการปวดอย่างรุนแรง และอาจนำไปสู่ภาวะไตวายได้หากไม่ได้รับการรักษา
- โรคไตวายเรื้อรัง: การสะสมของผลึกยูเรตในเนื้อไตเป็นเวลานาน อาจส่งผลให้ไตเสื่อมการทำงานลง และนำไปสู่ภาวะไตวายเรื้อรังในที่สุด
การวินิจฉัยโรคเก๊าท์
การวินิจฉัยโรคเก๊าท์ที่แม่นยำเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสม แพทย์จะพิจารณาจากอาการ ประวัติทางการแพทย์ และการตรวจเพิ่มเติมต่าง ๆ ดังนี้
- การตรวจวิเคราะห์ของเหลวจากข้อ: เป็นวิธีมาตรฐานและแม่นยำที่สุด โดยแพทย์จะใช้เข็มเจาะบริเวณข้อต่อที่มีอาการอักเสบ เพื่อนำน้ำไขข้อออกมาตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ หากพบผลึกยูเรตคริสตัลที่มีลักษณะเฉพาะ ก็จะสามารถยืนยันการวินิจฉัยโรคเก๊าท์ได้
- การตรวจเลือด: เพื่อวัดระดับความเข้มข้นของกรดยูริกในเลือด อย่างไรก็ตาม การมีระดับกรดยูริกสูงในเลือดเพียงอย่างเดียว ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นโรคเก๊าท์เสมอไป เพราะบางคนมีกรดยูริกสูงแต่ไม่มีอาการ หรือในบางรายที่มีอาการกำเริบ ระดับกรดยูริกในเลือดอาจกลับมาเป็นปกติได้
- การเอ็กซเรย์ข้อต่อ: เพื่อหาสาเหตุอื่นของการอักเสบของข้อต่อ และประเมินความเสียหายของข้อที่อาจเกิดขึ้นจากโรคเก๊าท์เรื้อรัง เช่น การกัดกร่อนของกระดูก
- การตรวจด้วยอัลตราซาวนด์: ช่วยตรวจจับผลึกเกลือยูเรตในข้อต่อและบริเวณเนื้อเยื่อรอบ ๆ ข้อได้
- การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบ DECT (Dual Energy CT Scan): เป็นการถ่ายภาพเอ็กซเรย์จากหลายมุม แล้วนำมาประมวลผลเป็นภาพสามมิติ ซึ่งสามารถช่วยวิเคราะห์และระบุตำแหน่งของผลึกเกลือยูเรตที่สะสมอยู่ในข้อต่อได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
วิธีการรักษา
การรักษาโรคเก๊าท์มีเป้าหมายหลัก 2 เรื่อง คือ การลดการอักเสบและบรรเทาอาการปวดในช่วงที่อาการกำเริบ และการควบคุมระดับกรดยูริกในเลือดเพื่อป้องกันการกำเริบซ้ำและภาวะแทรกซ้อน
- ยาบรรเทาอาการอักเสบและปวด: แพทย์จะพิจารณาใช้ยาที่ช่วยลดการอักเสบและความรู้สึกไม่สบายตัวที่มาพร้อมกับโรคเก๊าท์ เช่น ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ยาโคลชิซิน (Colchicine) หรือยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) โดยชนิดและขนาดของยาขึ้นอยู่กับความรุนแรงและความถี่ของอาการ
- ยาลดระดับกรดยูริก: ยาประเภทนี้จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากโรคเก๊าท์ โดยลดระดับกรดยูริกในเลือดให้สมดุลและอยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการตกผลึกของยูเรต เช่น อัลโลพูรินอล (Allopurinol) หรือ เฟบูโซสแทท (Febuxostat) การใช้ยาประเภทนี้มักต้องใช้ต่อเนื่องในระยะยาวภายใต้การดูแลของแพทย์
การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและการดูแลตัวเองที่บ้าน แม้การใช้ยาจะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการรักษาและป้องกันการกำเริบซ้ำ แต่การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเบียร์ รวมถึงเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลทรายและน้ำตาลฟรุกโตส ลดการบริโภคอาหารที่มีพิวรีนสูง และควรดื่มน้ำเปล่าให้มากขึ้นในแต่ละวัน นอกจากนี้การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม การควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ และการพักผ่อนให้เพียงพอก็เป็นส่วนหนึ่งของ วิธีบรรเทาอาการปวดเก๊าท์ และช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นได้ หากมีการบาดเจ็บจากการเล่นกีฬาหรือ วิ่งแล้วปวดเข่า ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้อง
ควรพบแพทย์เมื่อไหร่
หากคุณมีอาการเจ็บปวดอย่างฉับพลันบริเวณข้อต่อใดก็ตาม ควรรีบพบแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อรับการวินิจฉัยและเริ่มต้นการรักษาที่ถูกต้อง อย่าปล่อยทิ้งไว้ เพราะโรคเก๊าท์ที่ไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้ผู้ป่วยไม่สุขสบายและข้อต่อถูกทำลายให้เสียหายได้ หากพบว่ามีไข้ แสบร้อน บวมแดงบริเวณข้อต่ออย่างรุนแรง หรือมีอาการติดเชื้อในข้อ ควรรีบพบแพทย์ทันที เพื่อจำกัดความเสียหายต่อข้อนั้น ๆ และป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
สรุปบทความ
โรคเก๊าท์ ไม่ใช่แค่ อาการปวดข้อ ทั่วไป แต่เป็นภาวะที่ต้องการการดูแลและรักษาอย่างจริงจัง การทำความเข้าใจสาเหตุ อาการ การวินิจฉัย และ วิธีบรรเทาอาการปวดเก๊าท์ จะช่วยให้คุณสามารถจัดการกับโรคนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากคุณกำลังเผชิญกับ อาการปวดหัวเข่า เรื้อรัง หรือปัญหาเกี่ยวกับข้อ กระดูก และกล้ามเนื้ออื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นปวดสะโพก หรือ ปวดกล้ามเนื้อ จาก ออฟฟิศซินโดรม รวมถึง ปวดคอ บ่า ไหล่ ที่ KLOSS Wellness Clinic เราคือคลินิกกระดูกและข้อ ที่มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พร้อมดูแลคุณด้วยประสบการณ์ และเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อให้คุณกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขและปราศจากความเจ็บปวดอีกครั้ง