รู้สึกปวดกล้ามเนื้อ ไม่สบายตัว กล้ามเนื้อเกร็ง หรือเป็นตะคริวอยู่บ่อย ๆ หรือไม่? อาการเหล่านี้เป็นสิ่งที่พบได้บ่อยในชีวิตประจำวัน แต่บางครั้งก็อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่สำคัญได้ บทความนี้จาก KLOSS Wellness Clinic จะช่วยให้คุณเข้าใจว่าปวดกล้ามเนื้อเกิดจากอะไร มีอาการเป็นอย่างไร และมีวิธีรับมือ รวมถึงวิธีการรักษาอย่างถูกต้องอย่างไรบ้าง
ปวดกล้ามเนื้อ คืออะไร
ปวดกล้ามเนื้อ (Muscle Pain หรือ Myalgia) คืออาการเจ็บปวด หรือไม่สบายตัวที่เกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือหลายส่วนของร่างกาย ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากการบาดเจ็บ การใช้งานกล้ามเนื้อมากเกินไป การติดเชื้อ หรือเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพอื่น ๆ อาการปวดกล้ามเนื้อสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย และมีความรุนแรงแตกต่างกันไปในแต่ละคน บางครั้งอาจเป็นการปวดแบบชั่วคราว หรืออาจเป็นอาการเรื้อรังที่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวันได้ ผู้ที่เริ่มออกกำลังกายรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยทำมาก่อน อาจพบอาการปวดระบมกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย (Delayed-onset muscle soreness: DOMS) ซึ่งโดยทั่วไปจะมีอาการประมาณ 6-12 ชั่วโมงหลังออกกำลังกาย และอาจปวดนานถึง 48 ชั่วโมง ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่กล้ามเนื้อกำลังซ่อมแซมตัวเอง
อาการปวดกล้ามเนื้อ
อาการของปวดกล้ามเนื้อมีความหลากหลาย ขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรง โดยอาการที่พบได้บ่อยมีดังนี้
- ปวดระบมกล้ามเนื้อ: รู้สึกตึง เจ็บ หรือปวดเมื่อสัมผัสบริเวณกล้ามเนื้อ
- เป็นตะคริว: กล้ามเนื้อหดเกร็งอย่างรุนแรงและฉับพลัน ทำให้เกิดอาการปวดและไม่สามารถขยับกล้ามเนื้อส่วนนั้นได้ชั่วคราว
- กล้ามเนื้อหดเกร็ง: รู้สึกว่ากล้ามเนื้อมีการหดตัวค้างอยู่ ทำให้เกิดอาการตึงและปวด
- ปวดข้อ: ในบางกรณี อาการปวดกล้ามเนื้ออาจเกิดขึ้นร่วมกับการปวดข้อต่อใกล้เคียงได้ด้วย
สาเหตุที่ปวดกล้ามเนื้อ
ปวดกล้ามเนื้อ สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งมีทั้งสาเหตุที่ไม่รุนแรงและสาเหตุที่ต้องได้รับการรักษาทางการแพทย์อย่างจริงจัง โดยสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้เกิดอาการปวดกล้ามเนื้อ ได้แก่
- อาการบาดเจ็บจากการใช้กล้ามเนื้อมากเกินไป: เช่น การออกกำลังกายหนักเกินไป กล้ามเนื้อฉีก เคล็ดขัดยอก โรคปวดพังผืดกล้ามเนื้อ เส้นเอ็นอักเสบ หรืออาการเอ็นเสื่อม
- การติดเชื้อ: เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ไข้มาลาเรีย โรคทริคิโนซิส โรคลายม์ โรคไข้รากสาดใหญ่ รวมถึงการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียทั่วไป ซึ่งมักทำให้รู้สึกปวดเมื่อยตามตัว พร้อมกับมีไข้ คลื่นไส้ หรือต่อมน้ำเหลืองโต
- โรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง: เช่น โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis) โรคลูปัส (Lupus) โรคกล้ามเนื้ออักเสบ (Myositis) ซึ่งรวมถึงอาการกล้ามเนื้ออักเสบชนิด Inclusion Body Myositis และ Polymyositis
- ยาและการบำบัดบางชนิด: เช่น ยาลดระดับคอเลสเตอรอลกลุ่มยาสแตติน (Statins) ยาลดความดันโลหิตกลุ่ม ACE Inhibitors เคมีบำบัด หรือรังสีบำบัด ซึ่งอาจทำให้ปวดกล้ามเนื้อชั่วคราว หรือในระยะยาว โดยยาบางชนิดอาจทำให้กล้ามเนื้ออักเสบ (Myositis) และกระตุ้นใยประสาทรับความรู้สึกเจ็บปวด
- โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Neuromuscular Disorders): เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงจากไขสันหลังเสื่อม (Spinal Muscular Atrophy) โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง Myasthenia Gravis โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงดูเชนน์ (Duchenne Muscular Dystrophy) และโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ALS (Amyotrophic Lateral Sclerosis)
- ปัจจัยด้านสุขภาพอื่น ๆ: เช่น ความเครียด ภาวะไม่สมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย ภาวะฮอร์โมนไทรอยด์พร่อง โรคปวดเรื้อรังทั่วตัวไฟโบรมัยอัลเจีย (Fibromyalgia) ภาวะความดันในช่องกล้ามเนื้อสูง กลุ่มอาการอ่อนล้าเรื้อรัง มะเร็งซาร์โคมา หรือมะเร็งเม็ดเลือดขาว
การรักษาอาการปวดกล้ามเนื้อ
อาการปวดกล้ามเนื้อที่ไม่เรื้อรัง และมีสาเหตุไม่รุนแรง สามารถบรรเทาอาการได้ด้วยวิธีดูแลตนเองเบื้องต้น ดังนี้
- พักผ่อนและยกบริเวณที่ปวดให้สูงขึ้น: เพื่อลดภาระการใช้งานของกล้ามเนื้อ และช่วยลดอาการบวม
- ประคบเย็นและประคบร้อนสลับกัน: การประคบเย็นในช่วงแรก (24-48 ชั่วโมง) จะช่วยบรรเทาอาการอักเสบและลดบวม ส่วนการประคบร้อนในระยะต่อมาจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในบริเวณที่ปวด และช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย
- อาบน้ำหรือแช่น้ำอุ่น: เพื่อช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ตึงเครียด
- รับประทานยาแก้ปวด: เช่น ยาแอสไพริน ยาพาราเซตามอล ยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) หรือยานาพรอกเซน (Naproxen) เพื่อลดอาการปวดและการอักเสบ ควรใช้ยาตามคำแนะนำของเภสัชกรหรือแพทย์
- การใช้การแพทย์ทางเลือก: เช่น การนวด กายภาพบำบัด การฝังเข็ม หรือการนั่งสมาธิ สามารถช่วยบรรเทาอาการและผ่อนคลายกล้ามเนื้อได้
หากอาการปวดไม่หาย หรือรุนแรงมากขึ้น ควรพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
ควรไปพบแพทย์เมื่อไหร่
แม้ว่าอาการปวดกล้ามเนื้อ ส่วนใหญ่มักจะดีขึ้นได้เองด้วยการดูแลตัวเอง แต่มีบางกรณีที่ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างถูกต้อง ได้แก่
- มีไข้ร่วมกับอาการปวดกล้ามเนื้อ
- มีอาการเจ็บหน้าอก หรือหายใจลำบาก
- กล้ามเนื้ออ่อนแรงผิดปกติ
- มีอาการชา หรือไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของอวัยวะได้
- กลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ได้
- อาการปวดรุนแรงขึ้น หรือไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วันหลังจากดูแลตัวเองเบื้องต้น
การพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้ได้รับการวินิจฉัยที่แม่นยำ และป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้
สรุปบทความ
อาการปวดกล้ามเนื้อเป็นสิ่งที่ทุกคนเคยเจอ แต่อย่าละเลยสัญญาณที่ร่างกายกำลังส่งออกมา การทำความเข้าใจสาเหตุ อาการ และวิธีการดูแลรักษาที่ถูกต้อง จะช่วยให้คุณกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างสบายตัวและมีความสุข
หากคุณกำลังเผชิญกับอาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง มีอาการปวดหัวเข่า หรือปัญหาเกี่ยวกับข้อต่ออื่น ๆ เช่น อาการปวดเข่าในวัยรุ่น ข้อเสื่อมจากอายุ การใช้งานหนักจนลุกนั่งลำบาก บวม หรือลงน้ำหนักไม่ได้ และกำลังมองหาทางเลือกการรักษาที่เน้นการดูแลแบบองค์รวม โดยไม่อยากผ่าตัด KLOSS Wellness Clinic คือคลินิกกระดูกและข้อ ที่พร้อมดูแลคุณอย่างเข้าใจ ด้วยทีมแพทย์เฉพาะทางมากประสบการณ์กว่า 30 ปี เราดูแลคนไข้มาแล้วกว่า 20,000 เคส มั่นใจได้ในมาตรฐานการรักษา เพื่อให้คุณกลับมามีสุขภาพที่ดีและใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ ไร้ความกังวลใจเรื่องอาการปวดกล้ามเนื้อและข้อ