ปวดกล้ามเนื้อเกิดจากอะไร อาการเป็นอย่างไร รู้จักสาเหตุและวิธีการรักษาอย่างถูกต้อง

ปวดกล้ามเนื้อเกิดจากอะไร อาการเป็นอย่างไร รู้จักสาเหตุและวิธีการรักษาอย่างถูกต้อง

Facebook

รู้สึกปวดกล้ามเนื้อ ไม่สบายตัว กล้ามเนื้อเกร็ง หรือเป็นตะคริวอยู่บ่อย ๆ หรือไม่? อาการเหล่านี้เป็นสิ่งที่พบได้บ่อยในชีวิตประจำวัน แต่บางครั้งก็อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่สำคัญได้ บทความนี้จาก KLOSS Wellness Clinic จะช่วยให้คุณเข้าใจว่าปวดกล้ามเนื้อเกิดจากอะไร มีอาการเป็นอย่างไร และมีวิธีรับมือ รวมถึงวิธีการรักษาอย่างถูกต้องอย่างไรบ้าง

ปวดกล้ามเนื้อ คืออะไร

ปวดกล้ามเนื้อ (Muscle Pain หรือ Myalgia) คืออาการเจ็บปวด หรือไม่สบายตัวที่เกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือหลายส่วนของร่างกาย ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากการบาดเจ็บ การใช้งานกล้ามเนื้อมากเกินไป การติดเชื้อ หรือเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพอื่น ๆ อาการปวดกล้ามเนื้อสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย และมีความรุนแรงแตกต่างกันไปในแต่ละคน บางครั้งอาจเป็นการปวดแบบชั่วคราว หรืออาจเป็นอาการเรื้อรังที่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวันได้ ผู้ที่เริ่มออกกำลังกายรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยทำมาก่อน อาจพบอาการปวดระบมกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย (Delayed-onset muscle soreness: DOMS) ซึ่งโดยทั่วไปจะมีอาการประมาณ 6-12 ชั่วโมงหลังออกกำลังกาย และอาจปวดนานถึง 48 ชั่วโมง ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่กล้ามเนื้อกำลังซ่อมแซมตัวเอง

อาการปวดกล้ามเนื้อ

อาการปวดกล้ามเนื้อ

อาการของปวดกล้ามเนื้อมีความหลากหลาย ขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรง โดยอาการที่พบได้บ่อยมีดังนี้

  • ปวดระบมกล้ามเนื้อ: รู้สึกตึง เจ็บ หรือปวดเมื่อสัมผัสบริเวณกล้ามเนื้อ
  • เป็นตะคริว: กล้ามเนื้อหดเกร็งอย่างรุนแรงและฉับพลัน ทำให้เกิดอาการปวดและไม่สามารถขยับกล้ามเนื้อส่วนนั้นได้ชั่วคราว
  • กล้ามเนื้อหดเกร็ง: รู้สึกว่ากล้ามเนื้อมีการหดตัวค้างอยู่ ทำให้เกิดอาการตึงและปวด
  • ปวดข้อ: ในบางกรณี อาการปวดกล้ามเนื้ออาจเกิดขึ้นร่วมกับการปวดข้อต่อใกล้เคียงได้ด้วย

สาเหตุที่ปวดกล้ามเนื้อ

ปวดกล้ามเนื้อ สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งมีทั้งสาเหตุที่ไม่รุนแรงและสาเหตุที่ต้องได้รับการรักษาทางการแพทย์อย่างจริงจัง โดยสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้เกิดอาการปวดกล้ามเนื้อ ได้แก่

  • อาการบาดเจ็บจากการใช้กล้ามเนื้อมากเกินไป: เช่น การออกกำลังกายหนักเกินไป กล้ามเนื้อฉีก เคล็ดขัดยอก โรคปวดพังผืดกล้ามเนื้อ เส้นเอ็นอักเสบ หรืออาการเอ็นเสื่อม
  • การติดเชื้อ: เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ไข้มาลาเรีย โรคทริคิโนซิส โรคลายม์ โรคไข้รากสาดใหญ่ รวมถึงการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียทั่วไป ซึ่งมักทำให้รู้สึกปวดเมื่อยตามตัว พร้อมกับมีไข้ คลื่นไส้ หรือต่อมน้ำเหลืองโต
  • โรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง: เช่น โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis) โรคลูปัส (Lupus) โรคกล้ามเนื้ออักเสบ (Myositis) ซึ่งรวมถึงอาการกล้ามเนื้ออักเสบชนิด Inclusion Body Myositis และ Polymyositis
  • ยาและการบำบัดบางชนิด: เช่น ยาลดระดับคอเลสเตอรอลกลุ่มยาสแตติน (Statins) ยาลดความดันโลหิตกลุ่ม ACE Inhibitors เคมีบำบัด หรือรังสีบำบัด ซึ่งอาจทำให้ปวดกล้ามเนื้อชั่วคราว หรือในระยะยาว โดยยาบางชนิดอาจทำให้กล้ามเนื้ออักเสบ (Myositis) และกระตุ้นใยประสาทรับความรู้สึกเจ็บปวด
  • โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Neuromuscular Disorders): เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงจากไขสันหลังเสื่อม (Spinal Muscular Atrophy) โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง Myasthenia Gravis โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงดูเชนน์ (Duchenne Muscular Dystrophy) และโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ALS (Amyotrophic Lateral Sclerosis)
  • ปัจจัยด้านสุขภาพอื่น ๆ: เช่น ความเครียด ภาวะไม่สมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย ภาวะฮอร์โมนไทรอยด์พร่อง โรคปวดเรื้อรังทั่วตัวไฟโบรมัยอัลเจีย (Fibromyalgia) ภาวะความดันในช่องกล้ามเนื้อสูง กลุ่มอาการอ่อนล้าเรื้อรัง มะเร็งซาร์โคมา หรือมะเร็งเม็ดเลือดขาว

การรักษาอาการปวดกล้ามเนื้อ

วิธีการรักษาโรครูมาตอยด์

อาการปวดกล้ามเนื้อที่ไม่เรื้อรัง และมีสาเหตุไม่รุนแรง สามารถบรรเทาอาการได้ด้วยวิธีดูแลตนเองเบื้องต้น ดังนี้

  • พักผ่อนและยกบริเวณที่ปวดให้สูงขึ้น: เพื่อลดภาระการใช้งานของกล้ามเนื้อ และช่วยลดอาการบวม
  • ประคบเย็นและประคบร้อนสลับกัน: การประคบเย็นในช่วงแรก (24-48 ชั่วโมง) จะช่วยบรรเทาอาการอักเสบและลดบวม ส่วนการประคบร้อนในระยะต่อมาจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในบริเวณที่ปวด และช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย
  • อาบน้ำหรือแช่น้ำอุ่น: เพื่อช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ตึงเครียด
  • รับประทานยาแก้ปวด: เช่น ยาแอสไพริน ยาพาราเซตามอล ยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) หรือยานาพรอกเซน (Naproxen) เพื่อลดอาการปวดและการอักเสบ ควรใช้ยาตามคำแนะนำของเภสัชกรหรือแพทย์
  • การใช้การแพทย์ทางเลือก: เช่น การนวด กายภาพบำบัด การฝังเข็ม หรือการนั่งสมาธิ สามารถช่วยบรรเทาอาการและผ่อนคลายกล้ามเนื้อได้

หากอาการปวดไม่หาย หรือรุนแรงมากขึ้น ควรพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม

ควรไปพบแพทย์เมื่อไหร่

แม้ว่าอาการปวดกล้ามเนื้อ ส่วนใหญ่มักจะดีขึ้นได้เองด้วยการดูแลตัวเอง แต่มีบางกรณีที่ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างถูกต้อง ได้แก่

  • มีไข้ร่วมกับอาการปวดกล้ามเนื้อ
  • มีอาการเจ็บหน้าอก หรือหายใจลำบาก
  • กล้ามเนื้ออ่อนแรงผิดปกติ
  • มีอาการชา หรือไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของอวัยวะได้
  • กลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ได้
  • อาการปวดรุนแรงขึ้น หรือไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วันหลังจากดูแลตัวเองเบื้องต้น

การพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้ได้รับการวินิจฉัยที่แม่นยำ และป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้

สรุปบทความ

อาการปวดกล้ามเนื้อเป็นสิ่งที่ทุกคนเคยเจอ แต่อย่าละเลยสัญญาณที่ร่างกายกำลังส่งออกมา การทำความเข้าใจสาเหตุ อาการ และวิธีการดูแลรักษาที่ถูกต้อง จะช่วยให้คุณกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างสบายตัวและมีความสุข 

หากคุณกำลังเผชิญกับอาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง มีอาการปวดหัวเข่า หรือปัญหาเกี่ยวกับข้อต่ออื่น ๆ เช่น อาการปวดเข่าในวัยรุ่น ข้อเสื่อมจากอายุ การใช้งานหนักจนลุกนั่งลำบาก บวม หรือลงน้ำหนักไม่ได้ และกำลังมองหาทางเลือกการรักษาที่เน้นการดูแลแบบองค์รวม โดยไม่อยากผ่าตัด KLOSS Wellness Clinic คือคลินิกกระดูกและข้อ ที่พร้อมดูแลคุณอย่างเข้าใจ ด้วยทีมแพทย์เฉพาะทางมากประสบการณ์กว่า 30 ปี เราดูแลคนไข้มาแล้วกว่า 20,000 เคส มั่นใจได้ในมาตรฐานการรักษา เพื่อให้คุณกลับมามีสุขภาพที่ดีและใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ ไร้ความกังวลใจเรื่องอาการปวดกล้ามเนื้อและข้อ

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

Kloss Wellness Clinic มี 3 สาขา

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save
LOGO KLOSS WELLNESS CLINIC

BOOKING

 กรุณากรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ
กรุณาเลือก Promotions ที่คุณสนใจ
*** สงวนสิทธิ์ 1 คน / 1 สิทธิ์