หลายคนอาจเคยได้ยินชื่อ โรครูมาตอยด์ มาบ้าง แต่อาจไม่แน่ใจว่าโรคนี้คืออะไร และโรครูมาตอยด์อันตรายไหม มากน้อยแค่ไหน? บทความนี้จาก KLOSS Wellness Clinic จะพาคุณไปทำความรู้จักกับโรคข้ออักเสบเรื้อรังชนิดนี้อย่างละเอียด ทั้งอาการ สาเหตุ และแนวทางการรักษา เพื่อให้คุณสามารถสังเกตตนเองและคนที่คุณรักได้อย่างทันท่วงที
โรครูมาตอยด์ คืออะไร
โรครูมาตอยด์ หรือโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) คือโรคที่เกิดจากการอักเสบเรื้อรังของเยื่อหุ้มข้อ ซึ่งเป็นส่วนที่อยู่บริเวณรอยต่อของกระดูกและทำหน้าที่สร้างน้ำไขข้อเพื่อหล่อลื่นข้อต่อ โรคนี้จัดเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง (Autoimmune Disease) ชนิดหนึ่ง ซึ่งหมายถึงภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเกิดความผิดปกติ หันมาทำลายเนื้อเยื่อและเซลล์ของตัวเอง โดยเฉพาะบริเวณข้อต่อต่าง ๆ ทั่วร่างกาย เมื่อข้ออักเสบเป็นเวลานานโดยไม่ได้รับการรักษา จะนำไปสู่การทำลายกระดูกอ่อนและกระดูกบริเวณข้อต่อ ทำให้ข้อผิดรูป เกิดความพิการ และส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก
อาการของโรครูมาตอยด์
โรครูมาตอยด์ มักมีอาการปวดข้ออย่างช้า ๆ อาจเริ่มเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน ผู้ป่วยอาจมีอาการเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย น้ำหนักตัวลดลง และมีไข้อ่อน ๆ ร่วมด้วย อาการอื่น ๆ ของโรคที่พบบ่อยได้แก่
- อาการปวด บวม แดง อุ่น ข้อฝืด: มักเกิดขึ้นกับข้อต่อหลายข้อพร้อมกัน และที่สำคัญคือมักเกิดแบบสมมาตร คือเป็นที่ข้อต่อเดียวกันทั้งสองข้างของร่างกาย เช่น ข้อมือ นิ้วมือ ข้อศอก ข้อเข่า ข้อเท้า หรือข้อต่อบริเวณคอ
- อาการข้อฝืดแข็ง: โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการที่ร่างกายไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน เช่น ตอนตื่นนอนในตอนเช้า หรือหลังจากนั่งอยู่กับที่เป็นเวลานาน ๆ โดยอาการฝืดแข็งตอนเช้ามักจะปวดนานกว่า 1 ชั่วโมง
- มีปุ่มเนื้อนิ่ม ๆ (Rheumatoid Nodules): มักเกิดบริเวณที่มีการเสียดสีบ่อย ๆ เช่น ข้อศอก ข้อนิ้วมือ บริเวณท้ายทอย หรือเอ็นร้อยหวาย
ในระยะแรกของโรค อาการอาจเริ่มต้นที่ข้อต่อเล็ก ๆ ก่อน เช่น ฐานนิ้วมือ นิ้วเท้า แล้วค่อย ๆ ลุกลามไปยังข้อต่อขนาดใหญ่ขึ้น เช่น ข้อเข่า ปวดหัวเข่า หรือข้อสะโพก นอกจากนี้ยังอาจมีอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่เกิดจากการอักเสบเรื้อรัง หรือผลข้างเคียงจากยา เช่น มวลกระดูกลดลง กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปัญหาผิวหนัง ดวงตาอักเสบ ปัญหาปอดอักเสบ หรือปัญหาเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด
สาเหตุของโรครูมาตอยด์
ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิด โรครูมาตอยด์ แต่จากการศึกษาพบว่าเกิดจากผลของปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่มากระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติไป โดยปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ ได้แก่
- พันธุกรรม: หากมีคนในครอบครัว โดยเฉพาะพ่อแม่ หรือญาติสนิทเป็นโรคนี้ จะเพิ่มความเสี่ยงที่ลูกหลานจะเป็น โรครูมาตอยด์ สูงกว่าคนทั่วไป
- เพศ: ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคนี้สูงกว่าผู้ชายถึง 3 เท่า
- อายุ: โรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกวัย ตั้งแต่วัยหนุ่มสาว วัยกลางคน ไปจนถึงวัยสูงอายุ แต่มักพบมากในวัยหนุ่มสาวและวัยกลางคน เนื่องจากเป็นวัยที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้ดี ทำให้เมื่อเกิดความผิดปกติจึงส่งผลกระทบได้มาก
- ความอ้วน: ผู้ที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์ หรือเป็นโรคอ้วน มีโอกาสที่จะเป็น โรครูมาตอยด์ มากกว่าคนทั่วไป
- ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม: การได้รับสารเคมีบางอย่าง เช่น ใยหิน และซิลิกา อาจกระตุ้นให้เกิดโรคได้
- การสูบบุหรี่: นอกจากจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคแล้ว การสูบบุหรี่ยังเพิ่มความรุนแรงของโรคให้ร้ายแรงกว่าเดิมได้อีกด้วย
วิธีการรักษาโรครูมาตอยด์
แม้ว่า โรครูมาตอยด์ ยังไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาดได้ในปัจจุบัน แต่สามารถควบคุมอาการของโรคและชะลอความรุนแรงของโรคได้ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติมากที่สุด โดยแนวทางการรักษาหลัก ๆ ประกอบด้วย
การใช้ยา
การใช้ยาเป็นหัวใจสำคัญในการรักษา โรครูมาตอยด์ โดยจะประกอบด้วยยารับประทาน หรือยาฉีดสำหรับรักษาเฉพาะเจาะจงกับโรค เพื่อช่วยลดอาการอักเสบ และชะลอการทำลายข้อต่อ นอกจากนี้ อาจมีการใช้ยาช่วยบรรเทาอาการ เช่น ยาแก้ปวด หรือยาสเตียรอยด์ เพื่อช่วยลดความเจ็บปวดและอาการบวม เพื่อให้ผู้ป่วยไม่ทรมานจากโรค
การผ่าตัด
สำหรับการรักษา โรครูมาตอยด์ ในกรณีที่ข้อต่อถูกทำลายไปมากแล้ว หรือเกิดการผิดรูป การผ่าตัดจะเป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยซ่อมแซม หรือเปลี่ยนข้อต่อที่เสียหาย เพื่อให้ข้อกลับมาทำงานได้ดีขึ้น ลดความเจ็บปวด และช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้น แต่การผ่าตัดมักเป็นวิธีที่ใช้ในกรณีที่จำเป็นจริง ๆ
กายภาพบำบัด
กายภาพบำบัด มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการรักษา โรครูมาตอยด์ โดยจะช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพของข้อต่อและกล้ามเนื้อ รวมถึงการออกกำลังกายที่เหมาะสม เพื่อคงความยืดหยุ่นของข้อต่อ เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และลดความฝืดแข็งของข้อ ผู้ป่วยจะได้รับการแนะนำท่าบริหารที่ถูกต้องจากนักกายภาพบำบัด เพื่อให้สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ดียิ่งขึ้น
วิธีป้องกันโรครูมาตอยด์
เนื่องจากยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิด โรครูมาตอยด์ จึงยังไม่สามารถป้องกันโรคนี้ได้อย่างสมบูรณ์ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการเข้ารับการวินิจฉัยทันทีเมื่อรู้สึกปวดข้อผิดปกติ หรือมีอาการที่น่าสงสัย เพราะหากได้รับการรักษาตั้งแต่แรกเริ่ม จะมีโอกาสหยุดยั้งโรคได้ง่ายกว่า และลดโอกาสที่ข้อจะเกิดความพิการ สำหรับการดูแลตัวเองของผู้ป่วย หรือผู้ที่ต้องการลดความเสี่ยง ได้แก่
- พบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางตามนัดทุกครั้ง: เพื่อติดตามผลการรักษา และเฝ้าระวังผลข้างเคียงจากการใช้ยา
- ออกกำลังกายข้ออย่างสม่ำเสมอ: เพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพของข้อต่อและร่างกาย โดยเน้นท่าที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรง
- หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง: เช่น การยกของหนัก การกระโดด การนั่งยอง ๆ นั่งขัดสมาธิ หรือพับเพียบ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการทำลายข้อ
- ควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกินเกณฑ์: เพื่อลดภาระการรับน้ำหนักของข้อเข่าและข้อเท้า ซึ่งเป็นส่วนที่ได้รับผลกระทบจาก โรครูมาตอยด์ ได้ง่าย
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: โดยเฉพาะอาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียม วิตามินดี และวิตามินซี ซึ่งจำเป็นต่อการบำรุงเนื้อเยื่อและกระดูกให้แข็งแรง
- ประคบเย็นเมื่อมีอาการปวด: นอกจากรับประทานยาบรรเทาปวดแล้ว การประคบเย็นบริเวณข้อที่ปวดวันละ 3-4 ครั้ง ครั้งละ 20 นาที ก็ช่วยบรรเทาอาการได้
สรุปบทความ
โรครูมาตอยด์ เป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรังที่สามารถส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างรุนแรง หากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม แต่ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์และแนวทางการรักษาที่หลากหลาย ผู้ป่วยสามารถควบคุมอาการและใช้ชีวิตได้อย่างปกติ
หากคุณกำลังเผชิญกับอาการปวดข้อบวมแดง ฝืดแข็งในตอนเช้า หรือมีอาการปวดหัวเข่าเรื้อรัง ไม่ว่าจะเป็น อาการปวดเข่าในวัยรุ่น ข้อเสื่อมจากอายุ หรือใช้งานหนักจนลุกนั่งลำบาก บวม ลงน้ำหนักไม่ได้ และต้องการทางเลือกการรักษาที่เน้นการดูแลแบบองค์รวม โดยไม่ต้องผ่าตัด KLOSS Wellness Clinic คือ คลินิกกระดูกและข้อ ที่พร้อมดูแลคุณอย่างเข้าใจ ด้วยทีมแพทย์เฉพาะทางที่มีประสบการณ์กว่า 30 ปี เราดูแลคนไข้มาแล้วกว่า 20,000 เคส มั่นใจได้ในมาตรฐานการรักษา เพื่อให้คุณกลับมามีสุขภาพที่ดีและใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ ไร้ความกังวลใจเรื่องอาการปวดข้อ