เมื่อไตเข้าสู่ระยะสุดท้าย หลายคนอาจมีคำถามที่ค้างคาใจว่า ไตวายระยะสุดท้ายอยู่ได้นานไหม และผู้ป่วยจะอยู่ได้กี่ปี บทความนี้จะให้ข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับ โรคไตระยะ 5 ตั้งแต่ลักษณะของโรค อาการที่แสดงออก ไปจนถึงปัจจัยที่มีผลต่ออายุขัยและทางเลือกการรักษา เพื่อให้คุณเข้าใจและเตรียมพร้อมรับมือได้อย่างมั่นใจ
โรคไตระยะ 5 คืออะไร
โรคไตระยะ 5 หรือที่เรียกว่า End-Stage Renal Disease (ESRD) เป็นระยะสุดท้ายของ โรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease: CKD) ซึ่งเป็นภาวะที่ไตเสื่อมสภาพอย่างรุนแรงจนไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ โดยอัตราการกรองของไตลดลงเหลือไม่ถึง 15% ของการทำงานปกติ ส่งผลให้ไตไม่สามารถกรองของเสีย ควบคุมสมดุลของน้ำ แร่ธาตุ และผลิตฮอร์โมนที่จำเป็นต่อร่างกายได้อีกต่อไป ทำให้มีของเสียสะสมในเลือดจนกระทบต่อการทำงานของอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย ผู้ป่วยในระยะนี้จึงจำเป็นต้องได้รับการรักษาเพื่อทดแทนการทำงานของไตอย่างเร่งด่วน
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิด โรคไตระยะ 5 ได้แก่ โรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดี โรคความดันโลหิตสูงที่ไม่ได้รับการรักษา การอักเสบของไตเรื้อรัง และโรคนิ่วในไตที่ทำให้เกิดการอุดตันหรือติดเชื้อรุนแรง
อาการของโรคไตระยะ 5
โรคไตระยะ 5 เป็นภาวะที่การทำงานของไตลดลงอย่างมาก อาการในระยะนี้มักรุนแรงและส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วยอย่างมาก โดยอาการที่พบได้ในระยะนี้มีความหลากหลาย ดังนี้
อาการเนื่องจากมีของเสียสะสมในร่างกาย (Uremia)
เมื่อไตไม่สามารถขับของเสียออกจากร่างกายได้ ของเสียเหล่านี้จะสะสมอยู่ในเลือดและก่อให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ปวดศีรษะ มึนงง และอาจมีรสขมในปาก หรือมีกลิ่นปากคล้ายแอมโมเนีย
อาการบวมจากการสะสมน้ำในร่างกาย
ไตที่ทำงานผิดปกติทำให้ร่างกายไม่สามารถขับน้ำส่วนเกินออกไปได้ ส่งผลให้เกิดอาการบวมตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะ ขา เท้า ใบหน้า และรอบดวงตา นอกจากนี้ การสะสมของน้ำในปอดยังทำให้เกิดภาวะน้ำท่วมปอดและหายใจลำบากได้
อาการทางหัวใจและหลอดเลือด
ของเสียที่สะสมและการคั่งของน้ำ ส่งผลให้หัวใจและหลอดเลือดทำงานหนักขึ้น ทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูง และอาจนำไปสู่ภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ เนื่องจากระดับโพแทสเซียมในเลือดสูงเกินไป ซึ่งไตไม่สามารถขับออกได้
ภาวะโลหิตจาง (Anemia)
ไตมีหน้าที่ในการผลิตฮอร์โมน Erythropoietin ซึ่งกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง เมื่อไตเสื่อม ฮอร์โมนนี้จะลดลง ทำให้ผู้ป่วยมีภาวะโลหิตจาง ซึ่งแสดงออกด้วยอาการซีด เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย หนาวง่าย และวิงเวียนศีรษะ
อาการทางระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
การสะสมของของเสียและความไม่สมดุลของแร่ธาตุในเลือด เช่น แคลเซียมและฟอสฟอรัส อาจส่งผลกระทบต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการเป็นตะคริวหรือกล้ามเนื้อกระตุกบ่อยครั้ง และอาจรู้สึกมือและเท้าชาได้
อาการทางผิวหนัง
ผู้ป่วย โรคไตระยะ 5 มักมีอาการคันทั่วร่างกาย ซึ่งมักเกิดจากระดับฟอสฟอรัสในเลือดที่สูง นอกจากนี้ ผิวหนังอาจแห้งและลอกง่าย เนื่องจากภาวะของเสียสะสมในร่างกายมากเกินไป
อาการทางจิตใจและอารมณ์
การเผชิญกับ โรคไตเรื้อรัง ระยะสุดท้าย รวมถึงอาการทางกายที่รบกวนชีวิตประจำวัน สามารถส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจ ทำให้ผู้ป่วยนอนไม่หลับ หรือหลับไม่สนิท และอาจมีภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวลตามมาได้
ไตวายระยะสุดท้ายอยู่ได้นานไหม?
คำถามที่ว่า ไตวายระยะสุดท้ายอยู่ได้นานไหม ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีการรักษา สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย และการปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัด
- หากไม่ได้รับการรักษา: ผู้ป่วย ไตวายระยะสุดท้าย ที่ไม่ได้รับการฟอกไตหรือปลูกถ่ายไต อาจมีชีวิตอยู่ได้เพียงไม่กี่สัปดาห์ถึงไม่กี่เดือนเท่านั้น เนื่องจากร่างกายไม่สามารถขจัดของเสียและรักษาสมดุลของเหลวในร่างกายไว้ได้
- หากได้รับการฟอกไตอย่างต่อเนื่อง: ผู้ป่วยที่ได้รับการฟอกไตอย่างเหมาะสมและสม่ำเสมอ สามารถมีชีวิตอยู่ได้นานหลายปี โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 5-10 ปี แต่บางรายสามารถอยู่ได้มากกว่า 20 ปี หากดูแลสุขภาพและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
- การปลูกถ่ายไต: การปลูกถ่ายไตเป็นวิธีการรักษาที่ช่วยเพิ่มอายุขัยและคุณภาพชีวิตให้กับผู้ป่วยได้อย่างมาก โดยเฉลี่ยผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายไตสามารถมีชีวิตอยู่ได้นาน 10-20 ปี หรือมากกว่านั้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลหลังการผ่าตัดและผลของการทำงานของไตที่ปลูกถ่าย
ปัจจัยที่มีผลต่ออาการไตวายระยะสุดท้าย
นอกจากวิธีการรักษาแล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่มีผลต่ออาการและความรุนแรงของโรค รวมถึงอายุขัยของผู้ป่วย โรคไตระยะ 5
- อายุของผู้ป่วย: ผู้ป่วยที่อายุน้อยมักมีโอกาสอยู่ได้นานกว่าผู้สูงอายุ เนื่องจากร่างกายมีความแข็งแรงและสามารถทนต่อการรักษาได้ดีกว่า
- โรคประจำตัว: การมีโรคประจำตัวอื่น ๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง หรือโรคหัวใจ ที่ไม่สามารถควบคุมได้ดี จะส่งผลให้อาการของ ไตวาย รุนแรงขึ้นและทำให้อายุขัยสั้นลง
- การปฏิบัติตามคำแนะนำแพทย์: การรับประทานยาอย่างเคร่งครัด การฟอกไตตรงตามเวลาที่กำหนด การควบคุมอาหาร และการดูแลสุขภาพตนเองตามคำแนะนำของแพทย์ มีผลอย่างมากต่อการชะลอความเสื่อมและยืดอายุของผู้ป่วย
- การสนับสนุนจากครอบครัว: กำลังใจ ความเข้าใจ และความช่วยเหลือจากคนรอบข้างมีผลอย่างมากต่อสภาพจิตใจและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย โรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย ทำให้ผู้ป่วยมีความร่วมมือในการรักษาและมีกำลังใจในการดำเนินชีวิต
ทางเลือกการรักษาโรคไตระยะ 5
เมื่อผู้ป่วยเข้าสู่ ระยะ 5 ของโรคไตเรื้อรัง การรักษามีเป้าหมายหลักเพื่อทดแทนการทำงานของไตที่เสื่อมสภาพไป เพื่อกำจัดของเสียและรักษาสมดุลของเหลวในร่างกาย โดยมี 2 วิธีสำคัญดังนี้
การฟอกไต (Dialysis)
- การฟอกเลือด (Hemodialysis): เป็นการใช้เครื่องฟอกเลือดที่ต่อเข้ากับหลอดเลือดของผู้ป่วย เพื่อกรองของเสียและน้ำส่วนเกินออกจากเลือด วิธีนี้ต้องทำในโรงพยาบาลหรือในศูนย์ฟอกไต โดยทั่วไปผู้ป่วยต้องฟอกไตสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง แต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 3-5 ชั่วโมง
- การล้างไตทางช่องท้อง (Peritoneal Dialysis): เป็นการใช้เยื่อบุช่องท้องเป็นตัวกรองของเสีย โดยผู้ป่วยสามารถทำเองที่บ้านได้ โดยการเติมน้ำยาล้างไตเข้าสู่ช่องท้องผ่านสายสวนพิเศษ แล้วปล่อยให้น้ำยาดูดซับของเสียก่อนจะระบายออก กระบวนการนี้ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ วันละหลายครั้ง หรืออาจทำในขณะนอนหลับด้วยเครื่องอัตโนมัติ
การปลูกถ่ายไต (Kidney Transplant)
การปลูกถ่ายไตคือการผ่าตัดเปลี่ยนไตที่เสียไปด้วยไตใหม่จากผู้บริจาค ซึ่งอาจเป็นบุคคลที่มีชีวิตอยู่หรือเสียชีวิตแล้ว วิธีนี้ถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการบำบัดทดแทนไต เนื่องจากช่วยให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้นและลดข้อจำกัดในชีวิตประจำวัน ผู้ป่วยไม่ต้องพึ่งพาการฟอกไตอีกต่อไป แต่มีข้อจำกัดคือการรอผู้บริจาคอาจใช้เวลานาน และผู้ป่วยจะต้องรับประทานยากดภูมิคุ้มกันตลอดชีวิต เพื่อป้องกันร่างกายต่อต้านไตใหม่ ซึ่งอาจมีความเสี่ยงจากการผ่าตัดหรือภาวะแทรกซ้อนจากยากดภูมิคุ้มกันได้
การตัดสินใจเลือกรูปแบบการรักษาขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น สภาพร่างกายของผู้ป่วย ความสะดวกในการเข้าถึงการรักษา และความพร้อมทางด้านจิตใจและเศรษฐกิจ ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมและตอบโจทย์คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้มากที่สุด
สรุปบทความ
คำถามที่ว่า ไตวายระยะสุดท้ายอยู่ได้นานไหม หรืออยู่ได้กี่ปีนั้น ไม่มีคำตอบที่ตายตัว เพราะขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาและปัจจัยส่วนบุคคลของผู้ป่วยแต่ละราย อย่างไรก็ตาม การได้รับการรักษาที่เหมาะสมและต่อเนื่อง รวมถึงการดูแลสุขภาพอย่างเคร่งครัด จะช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและยืดอายุขัยได้
หากคุณกำลังกังวลเกี่ยวกับสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่ซับซ้อนอย่างโรคไต หรือปัญหาที่พบบ่อยอย่าง อาการปวดเข่าเรื้อรัง ไม่อยากผ่าตัด มี ข้อเสื่อมจากอายุ หรือใช้งานหนัก ลุกนั่งลำบาก บวม ลงน้ำหนักไม่ได้ KLOSS Wellness Clinic พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมของคุณ ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่จะช่วยประเมินและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม เพื่อให้คุณกลับมามีสุขภาพที่ดีและใช้ชีวิตได้อย่างเต็มศักยภาพอีกครั้ง