ไตเสื่อมระยะ 3 อันตรายไหม? หลายคนอาจกังวลเมื่อได้ยินคำนี้ เพราะไตเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำงานอย่างหนักเพื่อรักษาสมดุลของร่างกาย การเข้าใจถึงภาวะ ไตวาย และความรุนแรงในแต่ละระยะ จะช่วยให้เราดูแลสุขภาพได้อย่างทันท่วงที บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับโรคไตอย่างละเอียด เพื่อให้คุณเตรียมพร้อมรับมือได้อย่างถูกต้อง
ไตวายคืออะไร
ไตวาย คือภาวะที่ไตสูญเสียความสามารถในการทำงานลดลงจากสาเหตุต่าง ๆ จนไม่สามารถรักษาสมดุลของเหลว สารน้ำ และแร่ธาตุต่าง ๆ ภายในร่างกายได้ตามปกติ ส่งผลให้เกิดการคั่งของน้ำและของเสียในร่างกาย ภาวะ ไตวาย สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ ไตวายเรื้อรัง และ ไตวายเฉียบพลัน ซึ่งมีลักษณะการดำเนินโรคและแนวทางการรักษาที่แตกต่างกัน
ไตวายเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease)
ไตวายเรื้อรัง หมายถึงภาวะที่ไตค่อย ๆ เสื่อมการทำงานลงอย่างต่อเนื่องและยาวนาน มักใช้เกณฑ์คือความผิดปกติทางโครงสร้างหรือหน้าที่ของไตที่คงอยู่มากกว่า 3 เดือนขึ้นไป ภาวะนี้มักไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถชะลอความเสื่อมได้ด้วยการรักษาและดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่อง
ไตวายเฉียบพลัน (Acute Kidney Disease)
ไตวายเฉียบพลัน คือภาวะที่ไตสูญเสียการทำงานลงอย่างรวดเร็วและฉับพลัน ซึ่งอาจเกิดขึ้นภายในเวลาเป็นชั่วโมงหรือเป็นวันจากสาเหตุต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการทำงานของไต ข้อดีคือ หากสามารถหาสาเหตุและแก้ไขได้ทันท่วงที ไตมีโอกาสที่จะฟื้นตัวกลับมาทำงานได้ใกล้เคียงหรือเท่ากับปกติ
อาการของโรคไตวาย
เนื่องจาก ไตวายเรื้อรัง และ ไตวายเฉียบพลัน มีการดำเนินของโรคที่แตกต่างกัน อาการที่แสดงออกจึงมีความแตกต่างกันด้วย
อาการไตวายเรื้อรัง
ในระยะแรก ๆ ผู้ป่วย ไตวายเรื้อรัง มักจะยังไม่มีอาการที่สังเกตได้ชัดเจน มักจะตรวจพบความผิดปกติจากการตรวจเลือด หรือตรวจปัสสาวะเท่านั้น หากไม่มีการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ ผู้ป่วยจะเริ่มแสดงอาการที่สังเกตได้มากขึ้น เช่น
- น้ำหนักลด เบื่ออาหาร
- แขน ขาบวม ตาบวม (เกิดจากการคั่งของน้ำในร่างกาย)
- หายใจหอบ เหนื่อยง่าย
- ปัสสาวะมีเลือดปน ปัสสาวะเป็นสีเลือด หรือสีน้ำล้างเนื้อ
- ปัสสาวะกลางคืนบ่อยกว่าปกติ
- นอนไม่หลับ
- คันตามผิวหนัง
- เป็นตะคริว
- เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ โดยเฉพาะในผู้ชาย
- อาจมีอาการสับสน ง่วงซึม ในผู้ป่วยรายที่มีการคั่งของของเสียมาก
- ความดันสูง ปวดศีรษะเรื้อรัง (ซึ่งอาจคล้ายกับ วิธีบรรเทาอาการปวดหัวความดัน แต่เป็นอาการของไตวาย)
- อาจพบภาวะหัวใจวายและภาวะน้ำท่วมปอด หากมีการคั่งของน้ำในร่างกายมาก
อาการไตวายเฉียบพลัน
อาการของ ไตวายเฉียบพลัน มักเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงกว่า
- ปัสสาวะน้อยลง หรือไม่มีปัสสาวะเลย
- อ่อนเพลีย มึนงง มีอาการง่วงเหงาหาวนอนตลอดเวลา
- อาเจียน คลื่นไส้ เบื่ออาหาร
- แขนขาบวม เท้าบวม
- หายใจหอบ อาจมีอาการปวดบริเวณชายโครง
- อาจมีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
- ในรายที่รุนแรงอาจมีอาการชัก หมดสติ หรือมีภาวะโคม่าแบบเฉียบพลัน ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้สูง
ไตวายเกิดจากอะไร
ภาวะ ไตวาย สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งที่เกิดขึ้นแบบเฉียบพลัน หรือแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งทำให้การทำงานของไตเสียไป หรือทำงานได้น้อยลง
สาเหตุของไตวายเรื้อรัง
- โรคเบาหวาน: โดยเฉพาะผู้ที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ดี มีระดับน้ำตาลสูงเป็นเวลานาน
- โรคความดันโลหิตสูง: ผู้ที่ควบคุมความดันไม่ดี มีความดันสูงอยู่นาน ๆ
- โรคถุงน้ำในไต (Polycystic Kidney Disease; PKD)
- โรคไตอักเสบ (Glomerular Disease)
- โรคลูปัส หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง (Systemic Lupus Erythematosus; SLE)
- ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด: เช่น ยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช้สเตียรอยด์ (NSAIDs) ยาปฏิชีวนะบางชนิด และยาลดความอ้วนบางตัว ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ
สาเหตุของไตวายเฉียบพลัน
- โรคภูมิคุ้มกันต่อต้านไตของตัวเอง (Autoimmune Kidney Diseases)
- การได้รับยาบางชนิด ที่มีผลต่อการทำงานของไต
- ร่างกายมีภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรง
- มีการอุดกั้นของทางเดินปัสสาวะ: เช่น ลิ่มเลือดอุดตัน นิ่วในไต ต่อมลูกหมากโตในเพศชาย หรือโรคมะเร็ง
- การทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายล้มเหลว: เช่น ระบบหัวใจและหลอดเลือด ทำให้การไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงไตเสียไปด้วย
- การติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียบางชนิด ที่ทำให้เกิดการทำลายเนื้อเยื่อไต
- การได้รับสารพิษบางอย่าง ที่ทำให้ไตทำงานหนักเพื่อขับสารพิษ จนเกิดภาวะไตวายเฉียบพลันได้
ระยะของโรคไตวายเรื้อรัง
ไตวายเรื้อรัง สามารถแบ่งตามอัตราการกรองของไต หรือค่า Estimated Glomerular Filtration Rate (eGFR) ซึ่งเป็นค่าที่บ่งบอกความสามารถของไตในการกรองของเสียออกจากเลือดในแต่ละนาที โดยแบ่งออกเป็น 5 ระยะ
- ระยะที่ 1: ไตทำงานมากกว่าหรือเท่ากับ 90% ไตยังทำงานอยู่ในภาวะปกติ แต่เริ่มตรวจพบความผิดปกติของไต เช่น ปัสสาวะมีตะกอน หรือพบโปรตีนในปัสสาวะมากกว่าปกติ
- ระยะที่ 2: ไตทำงานได้ 60-89% เป็นระยะที่ไตเริ่มทำงานลดลง ผู้ป่วยจะยังไม่มีความผิดปกติใด ๆ ที่สังเกตได้ชัดเจน จะตรวจพบความผิดปกติเฉพาะค่า eGFR เท่านั้น แพทย์อาจเรียกระยะนี้ว่า “ไตวายเรื้อรังระยะเริ่มต้น”
- ระยะที่ 3: ไตทำงานได้ 30-59% ระยะนี้ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะยังคงไม่มีอาการของภาวะ ไตวาย ที่ชัดเจน แต่ค่า eGFR จะลดลงไปเรื่อย ๆ ซึ่งอาจแบ่งย่อยเป็นระยะ 3a (45-59%) และ 3b (30-44%) และอาจเรียกระยะนี้ว่า “ไตวายเรื้อรังระดับปานกลาง”
- ระยะที่ 4: การทำงานของไตเหลือเพียง 15-29% เป็นภาวะที่เริ่มมีอาการของ โรคไตเรื้อรัง ชัดเจนขึ้น เช่น น้ำหนักลด เบื่ออาหาร มีอาการคันตามผิวหนัง เป็นตะคริวบ่อย มึนงง แขนขาบวม ข้อบวม เท้าบวม ปัสสาวะปริมาณน้อยลงแต่ปัสสาวะบ่อยขึ้น อาจมีภาวะซีดร่วมด้วย อาจเรียกระยะนี้ว่า “ไตวายเรื้อรังระดับรุนแรง” ในระยะนี้แพทย์อาจพิจารณาแนะนำให้ผู้ป่วยเริ่มเตรียมตัวสำหรับการฟอกไต
- ระยะที่ 5: ไตทำงานได้น้อยกว่า 15% หรือเรียกว่า “ไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย” ผู้ป่วยในระยะนี้จะมีอาการของ โรคไตวาย ชัดเจนขึ้น บางรายอาจไม่มีปัสสาวะเลย ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยการฟอกไต เพราะไตไม่สามารถขับของเสียได้ และหากไม่ทำการฟอกไต ผู้ป่วยจะมีภาวะเลือดเป็นกรด ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
การป้องกันภาวะไตวาย
การป้องกัน ภาวะไตวาย ทำได้โดยการดูแลสุขภาพและปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต ดังนี้
- ตรวจคัดกรองโรคไตอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง: โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงสูง
- รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่: ในปริมาณที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด หวานจัด และมันจัด
- ควบคุมโรคประจำตัว: เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ให้อยู่ในระดับปกติ
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ: อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว เพื่อช่วยให้ไตขับของเสียได้ดีขึ้น
- ไม่ซื้อยารับประทานเอง: ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้ง และหลีกเลี่ยงการรับประทานยาติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ โดยเฉพาะกลุ่มยาแก้ปวดลดการอักเสบ (NSAIDs) หรือยาชุด
- หลีกเลี่ยงสาเหตุต่าง ๆ ที่ทำให้ไตเสีย: เช่น การสัมผัสสารพิษ หรือการติดเชื้อรุนแรง
ไตเสื่อมระยะ 3 อันตรายไหม
คำถามที่ว่าไตเสื่อมระยะ 3 อันตรายไหม คำตอบคือ เป็นระยะที่ต้องให้ความสำคัญและใส่ใจอย่างมาก แม้ผู้ป่วยในระยะนี้มักจะยังไม่มีอาการที่ชัดเจน แต่การทำงานของไตก็ลดลงไปมากถึง 30-59% แล้ว ซึ่งหมายความว่าไตไม่สามารถกรองของเสียได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และหากไม่ได้รับการดูแลรักษาที่เหมาะสม อาจดำเนินไปสู่ระยะที่ 4 และ 5 ซึ่งมีความรุนแรงมากขึ้นและจำเป็นต้องฟอกไต การตรวจพบในระยะที่ 3 นี้เป็นโอกาสที่ดีที่จะชะลอความเสื่อมของไต และป้องกันไม่ให้เข้าสู่ภาวะ ไตวาย ระยะสุดท้ายได้
สรุปบทความ
ภาวะไตวาย ไม่ว่าจะเป็นไตเสื่อมระยะ 3 หรือระยะอื่น ๆ ล้วนเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ต้องให้ความสำคัญ การดูแลรักษาสุขภาพและการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งจำเป็น เพราะในระยะแรกของ ไตวาย มักไม่พบอาการผิดปกติ การตรวจสุขภาพจะช่วยให้สามารถตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ทำให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น
และหากคุณกำลังมีอาการ ปวดเข่าเรื้อรัง ไม่อยากผ่าตัด มี ข้อเสื่อมจากอายุ หรือใช้งานหนัก ลุกนั่งลำบาก บวม ลงน้ำหนักไม่ได้ KLOSS Wellness Clinic พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมของคุณ ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านข้อ กระดูก และกล้ามเนื้อ ที่พร้อมให้คำปรึกษาและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม เพื่อให้คุณกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีและใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่อีกครั้ง