โรคไตวายคืออะไร

ไตเสื่อมระยะ 3 อันตรายไหม รู้จักระยะความรุนแรงของโรคไต

Facebook

ไตเสื่อมระยะ 3 อันตรายไหม? หลายคนอาจกังวลเมื่อได้ยินคำนี้ เพราะไตเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำงานอย่างหนักเพื่อรักษาสมดุลของร่างกาย การเข้าใจถึงภาวะ ไตวาย และความรุนแรงในแต่ละระยะ จะช่วยให้เราดูแลสุขภาพได้อย่างทันท่วงที บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับโรคไตอย่างละเอียด เพื่อให้คุณเตรียมพร้อมรับมือได้อย่างถูกต้อง

ไตวายคืออะไร

ไตวาย คือภาวะที่ไตสูญเสียความสามารถในการทำงานลดลงจากสาเหตุต่าง ๆ จนไม่สามารถรักษาสมดุลของเหลว สารน้ำ และแร่ธาตุต่าง ๆ ภายในร่างกายได้ตามปกติ ส่งผลให้เกิดการคั่งของน้ำและของเสียในร่างกาย ภาวะ ไตวาย สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ ไตวายเรื้อรัง และ ไตวายเฉียบพลัน ซึ่งมีลักษณะการดำเนินโรคและแนวทางการรักษาที่แตกต่างกัน

ไตวายเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease)

ไตวายเรื้อรัง หมายถึงภาวะที่ไตค่อย ๆ เสื่อมการทำงานลงอย่างต่อเนื่องและยาวนาน มักใช้เกณฑ์คือความผิดปกติทางโครงสร้างหรือหน้าที่ของไตที่คงอยู่มากกว่า 3 เดือนขึ้นไป ภาวะนี้มักไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถชะลอความเสื่อมได้ด้วยการรักษาและดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่อง

ไตวายเฉียบพลัน (Acute Kidney Disease)

ไตวายเฉียบพลัน คือภาวะที่ไตสูญเสียการทำงานลงอย่างรวดเร็วและฉับพลัน ซึ่งอาจเกิดขึ้นภายในเวลาเป็นชั่วโมงหรือเป็นวันจากสาเหตุต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการทำงานของไต ข้อดีคือ หากสามารถหาสาเหตุและแก้ไขได้ทันท่วงที ไตมีโอกาสที่จะฟื้นตัวกลับมาทำงานได้ใกล้เคียงหรือเท่ากับปกติ

อาการของโรคไตวาย

โรคไตวายคืออะไร

เนื่องจาก ไตวายเรื้อรัง และ ไตวายเฉียบพลัน มีการดำเนินของโรคที่แตกต่างกัน อาการที่แสดงออกจึงมีความแตกต่างกันด้วย

อาการไตวายเรื้อรัง

ในระยะแรก ๆ ผู้ป่วย ไตวายเรื้อรัง มักจะยังไม่มีอาการที่สังเกตได้ชัดเจน มักจะตรวจพบความผิดปกติจากการตรวจเลือด หรือตรวจปัสสาวะเท่านั้น หากไม่มีการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ ผู้ป่วยจะเริ่มแสดงอาการที่สังเกตได้มากขึ้น เช่น

  • น้ำหนักลด เบื่ออาหาร
  • แขน ขาบวม ตาบวม (เกิดจากการคั่งของน้ำในร่างกาย)
  • หายใจหอบ เหนื่อยง่าย
  • ปัสสาวะมีเลือดปน ปัสสาวะเป็นสีเลือด หรือสีน้ำล้างเนื้อ
  • ปัสสาวะกลางคืนบ่อยกว่าปกติ
  • นอนไม่หลับ
  • คันตามผิวหนัง
  • เป็นตะคริว
  • เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ โดยเฉพาะในผู้ชาย
  • อาจมีอาการสับสน ง่วงซึม ในผู้ป่วยรายที่มีการคั่งของของเสียมาก
  • ความดันสูง ปวดศีรษะเรื้อรัง (ซึ่งอาจคล้ายกับ วิธีบรรเทาอาการปวดหัวความดัน แต่เป็นอาการของไตวาย)
  • อาจพบภาวะหัวใจวายและภาวะน้ำท่วมปอด หากมีการคั่งของน้ำในร่างกายมาก

อาการไตวายเฉียบพลัน

อาการของ ไตวายเฉียบพลัน มักเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงกว่า

  • ปัสสาวะน้อยลง หรือไม่มีปัสสาวะเลย
  • อ่อนเพลีย มึนงง มีอาการง่วงเหงาหาวนอนตลอดเวลา
  • อาเจียน คลื่นไส้ เบื่ออาหาร
  • แขนขาบวม เท้าบวม
  • หายใจหอบ อาจมีอาการปวดบริเวณชายโครง
  • อาจมีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
  • ในรายที่รุนแรงอาจมีอาการชัก หมดสติ หรือมีภาวะโคม่าแบบเฉียบพลัน ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้สูง

ไตวายเกิดจากอะไร

ไตวายเกิดจากอะไร

ภาวะ ไตวาย สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งที่เกิดขึ้นแบบเฉียบพลัน หรือแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งทำให้การทำงานของไตเสียไป หรือทำงานได้น้อยลง

สาเหตุของไตวายเรื้อรัง

  • โรคเบาหวาน: โดยเฉพาะผู้ที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ดี มีระดับน้ำตาลสูงเป็นเวลานาน
  • โรคความดันโลหิตสูง: ผู้ที่ควบคุมความดันไม่ดี มีความดันสูงอยู่นาน ๆ
  • โรคถุงน้ำในไต (Polycystic Kidney Disease; PKD)
  • โรคไตอักเสบ (Glomerular Disease)
  • โรคลูปัส หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง (Systemic Lupus Erythematosus; SLE)
  • ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด: เช่น ยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช้สเตียรอยด์ (NSAIDs) ยาปฏิชีวนะบางชนิด และยาลดความอ้วนบางตัว ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ

สาเหตุของไตวายเฉียบพลัน

  • โรคภูมิคุ้มกันต่อต้านไตของตัวเอง (Autoimmune Kidney Diseases)
  • การได้รับยาบางชนิด ที่มีผลต่อการทำงานของไต
  • ร่างกายมีภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรง
  • มีการอุดกั้นของทางเดินปัสสาวะ: เช่น ลิ่มเลือดอุดตัน นิ่วในไต ต่อมลูกหมากโตในเพศชาย หรือโรคมะเร็ง
  • การทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายล้มเหลว: เช่น ระบบหัวใจและหลอดเลือด ทำให้การไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงไตเสียไปด้วย
  • การติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียบางชนิด ที่ทำให้เกิดการทำลายเนื้อเยื่อไต
  • การได้รับสารพิษบางอย่าง ที่ทำให้ไตทำงานหนักเพื่อขับสารพิษ จนเกิดภาวะไตวายเฉียบพลันได้

ระยะของโรคไตวายเรื้อรัง

ไตวายเรื้อรัง สามารถแบ่งตามอัตราการกรองของไต หรือค่า Estimated Glomerular Filtration Rate (eGFR) ซึ่งเป็นค่าที่บ่งบอกความสามารถของไตในการกรองของเสียออกจากเลือดในแต่ละนาที โดยแบ่งออกเป็น 5 ระยะ

  • ระยะที่ 1: ไตทำงานมากกว่าหรือเท่ากับ 90% ไตยังทำงานอยู่ในภาวะปกติ แต่เริ่มตรวจพบความผิดปกติของไต เช่น ปัสสาวะมีตะกอน หรือพบโปรตีนในปัสสาวะมากกว่าปกติ
  • ระยะที่ 2: ไตทำงานได้ 60-89% เป็นระยะที่ไตเริ่มทำงานลดลง ผู้ป่วยจะยังไม่มีความผิดปกติใด ๆ ที่สังเกตได้ชัดเจน จะตรวจพบความผิดปกติเฉพาะค่า eGFR เท่านั้น แพทย์อาจเรียกระยะนี้ว่า “ไตวายเรื้อรังระยะเริ่มต้น”
  • ระยะที่ 3: ไตทำงานได้ 30-59% ระยะนี้ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะยังคงไม่มีอาการของภาวะ ไตวาย ที่ชัดเจน แต่ค่า eGFR จะลดลงไปเรื่อย ๆ ซึ่งอาจแบ่งย่อยเป็นระยะ 3a (45-59%) และ 3b (30-44%) และอาจเรียกระยะนี้ว่า “ไตวายเรื้อรังระดับปานกลาง”
  • ระยะที่ 4: การทำงานของไตเหลือเพียง 15-29% เป็นภาวะที่เริ่มมีอาการของ โรคไตเรื้อรัง ชัดเจนขึ้น เช่น น้ำหนักลด เบื่ออาหาร มีอาการคันตามผิวหนัง เป็นตะคริวบ่อย มึนงง แขนขาบวม ข้อบวม เท้าบวม ปัสสาวะปริมาณน้อยลงแต่ปัสสาวะบ่อยขึ้น อาจมีภาวะซีดร่วมด้วย อาจเรียกระยะนี้ว่า “ไตวายเรื้อรังระดับรุนแรง” ในระยะนี้แพทย์อาจพิจารณาแนะนำให้ผู้ป่วยเริ่มเตรียมตัวสำหรับการฟอกไต
  • ระยะที่ 5: ไตทำงานได้น้อยกว่า 15% หรือเรียกว่า “ไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย” ผู้ป่วยในระยะนี้จะมีอาการของ โรคไตวาย ชัดเจนขึ้น บางรายอาจไม่มีปัสสาวะเลย ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยการฟอกไต เพราะไตไม่สามารถขับของเสียได้ และหากไม่ทำการฟอกไต ผู้ป่วยจะมีภาวะเลือดเป็นกรด ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

การป้องกันภาวะไตวาย

การป้องกัน ภาวะไตวาย ทำได้โดยการดูแลสุขภาพและปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต ดังนี้

  • ตรวจคัดกรองโรคไตอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง: โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงสูง
  • รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่: ในปริมาณที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด หวานจัด และมันจัด
  • ควบคุมโรคประจำตัว: เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ให้อยู่ในระดับปกติ
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ: อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว เพื่อช่วยให้ไตขับของเสียได้ดีขึ้น
  • ไม่ซื้อยารับประทานเอง: ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้ง และหลีกเลี่ยงการรับประทานยาติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ โดยเฉพาะกลุ่มยาแก้ปวดลดการอักเสบ (NSAIDs) หรือยาชุด
  • หลีกเลี่ยงสาเหตุต่าง ๆ ที่ทำให้ไตเสีย: เช่น การสัมผัสสารพิษ หรือการติดเชื้อรุนแรง

ไตเสื่อมระยะ 3 อันตรายไหม

คำถามที่ว่าไตเสื่อมระยะ 3 อันตรายไหม คำตอบคือ เป็นระยะที่ต้องให้ความสำคัญและใส่ใจอย่างมาก แม้ผู้ป่วยในระยะนี้มักจะยังไม่มีอาการที่ชัดเจน แต่การทำงานของไตก็ลดลงไปมากถึง 30-59% แล้ว ซึ่งหมายความว่าไตไม่สามารถกรองของเสียได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และหากไม่ได้รับการดูแลรักษาที่เหมาะสม อาจดำเนินไปสู่ระยะที่ 4 และ 5 ซึ่งมีความรุนแรงมากขึ้นและจำเป็นต้องฟอกไต การตรวจพบในระยะที่ 3 นี้เป็นโอกาสที่ดีที่จะชะลอความเสื่อมของไต และป้องกันไม่ให้เข้าสู่ภาวะ ไตวาย ระยะสุดท้ายได้

สรุปบทความ

ภาวะไตวาย ไม่ว่าจะเป็นไตเสื่อมระยะ 3  หรือระยะอื่น ๆ ล้วนเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ต้องให้ความสำคัญ การดูแลรักษาสุขภาพและการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งจำเป็น เพราะในระยะแรกของ ไตวาย มักไม่พบอาการผิดปกติ การตรวจสุขภาพจะช่วยให้สามารถตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ทำให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น 

และหากคุณกำลังมีอาการ ปวดเข่าเรื้อรัง ไม่อยากผ่าตัด มี ข้อเสื่อมจากอายุ หรือใช้งานหนัก ลุกนั่งลำบาก บวม ลงน้ำหนักไม่ได้ KLOSS Wellness Clinic พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมของคุณ ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านข้อ กระดูก และกล้ามเนื้อ ที่พร้อมให้คำปรึกษาและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม เพื่อให้คุณกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีและใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่อีกครั้ง

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

Kloss Wellness Clinic มี 3 สาขา

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save
LOGO KLOSS WELLNESS CLINIC

BOOKING

 กรุณากรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ
กรุณาเลือก Promotions ที่คุณสนใจ
*** สงวนสิทธิ์ 1 คน / 1 สิทธิ์