คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมถึงปวดข้อเท้าหลังเดินไกล หรืออยู่ดี ๆ เวลาลุกเคลื่อนไหว โดยอาการปวดข้อเท้าเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยและสามารถส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมาก บางครั้งอาจรุนแรงจนไม่สามารถเดินได้ปกติ การทำความเข้าใจสาเหตุและวิธีดูแลที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญ
ชวนรู้จักส่วนประกอบของข้อเท้า
ข้อเท้าเป็นข้อต่อที่ซับซ้อนประกอบด้วยกระดูก 3 ชิ้น ได้แก่ Tibia และ Fibula จากขาส่วนล่าง และ Talus ที่เชื่อมต่อกับกระดูกส้นเท้า นอกจากนี้ยังมีเอ็น กล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่ออ่อนที่ทำหน้าที่รองรับน้ำหนักตัวและช่วยให้ข้อเท้าเคลื่อนไหวได้อย่างยืดหยุ่น
อาการปวดข้อเท้าเป็นอย่างไร
ปวดข้อเท้าเป็นความรู้สึกไม่สบายหรือเจ็บปวดบริเวณข้อเท้าและข้อต่อ อาการที่พบบ่อย ได้แก่
- ปวดเฉียบพลันและรุนแรง อาจรู้สึกปวดแปลบเหมือนมีของแหลมทิ่ม หรือปวดจนไม่สามารถลงน้ำหนักที่เท้าข้างนั้นได้เลย มักเกิดขึ้นทันทีหลังได้รับบาดเจ็บ
- ปวดตื้อๆ หรือปวดหน่วงๆ เป็นอาการปวดที่ไม่รุนแรงเท่าแบบแรก แต่อาจเกิดขึ้นต่อเนื่องและสร้างความรำคาญ มักพบในภาวะการอักเสบเรื้อรัง หรือข้อเสื่อม
- ปวดแสบร้อน อาจบ่งบอกถึงการอักเสบของเส้นเอ็นหรือเส้นประสาทที่บริเวณข้อเท้า
- ปวดเหมือนมีอะไรติดขัด อาจรู้สึกว่าข้อเท้าไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างราบรื่น มีเสียงดังกรอบแกรบ (crepitus) เวลาขยับ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของภาวะข้อเสื่อมหรือมีเศษกระดูกอ่อนหลุดอยู่ในข้อ
สาเหตุที่ทำให้ปวดข้อเท้า
การเกิดอาการปวดข้อเท้ามีสาเหตุหลากหลาย ตั้งแต่การบาดเจ็บจากอุบัติเหตุไปจนถึงโรคเรื้อรัง โดยสาเหตุหลักมีดังนี้
1. บาดเจ็บบริเวณข้อเท้า
การบาดเจ็บจากข้อเท้าพลิกหรือแพลงเป็นสาเหตุหลักของปวดข้อเท้า มักเกิดจากการออกกำลังกาย การเล่นกีฬา หรือการเดินบนพื้นไม่เรียบ ทำให้เส้นเอ็นและเนื้อเยื่ออ่อนรอบข้อเท้าฉีกขาด ส่งผลให้เกิดอาการปวด บวม และอาจมีรอยช้ำ
2. รองช้ำ
รองช้ำเป็นภาวะที่เส้นเอ็นใต้ฝ่าเท้าอักเสบจากการใช้งานมากเกินไปหรือการสวมรองเท้าที่ไม่เหมาะสม อาการปวดส้นเท้าและปวดส้นเท้าด้านหลังเกิดจากอะไร มักเป็นคำถามที่พบบ่อย โดยผู้ป่วยจะรู้สึกปวดส้นเท้ามากที่สุดตอนเช้าหลังตื่นนอนหรือหลังจากนั่งนาน ๆ
3. เอ็นร้อยหวายอักเสบ
เอ็นร้อยหวายเป็นเอ็นใหญ่ที่เชื่อมกล้ามเนื้อน่องกับกระดูกส้นเท้า การอักเสบมักเกิดจากการออกกำลังกายหนักหรือกิจกรรมที่ต้องกระโดดบ่อย ๆ ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดบริเวณด้านหลังข้อเท้าและอาจมีอาการบวม
4. ข้อเท้าอักเสบ
ข้อเท้าอักเสบอาจเกิดจากโรคต่าง ๆ เช่น โรคเก๊าท์ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ หรือโรคข้อเสื่อม ผู้ป่วยจะมีอาการปวดข้อเท้าร่วมกับบวม แดง และอาจมีอาการปวดเข่าในวัยรุ่นหรือปวดหัวเข่าข้างขวา ปวดหัวเข่าข้างซ้ายร่วมด้วย
5. เส้นประสาทบริเวณข้อเท้าอักเสบ
การอักเสบของเส้นประสาทบริเวณข้อเท้าทำให้เกิดอาการปวดร้าวตามแนวเส้นประสาท ผู้ป่วยอาจรู้สึกชา เสียว หรือปวดแสบร้อนบริเวณข้อเท้าและฝ่าเท้า อาการนี้มักพบในผู้ป่วยเบาหวานหรือผู้ที่มีการบาดเจ็บของเส้นประสาท
อาการปวดข้อเท้าแบบไหนที่ควรพบแพทย์
หากมีอาการต่อไปนี้ แนะนำให้พบแพทย์โดยเร็ว
- ปวดข้อเท้ารุนแรงไม่สามารถลงน้ำหนักหรือเดินได้เป็นเวลานานกว่า 2 สัปดาห์
- อาการบวมและปวดไม่ดีขึ้นหลังจากพักการใช้งานและใช้ยาแก้ปวดแล้ว
- มีอาการร้อนในข้อเท้าหรือมีแผลเปิดลึกบริเวณข้อเท้า
กลุ่มเสี่ยงในการเกิดอาการปวดข้อเท้า
กลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดปวดข้อเท้า ได้แก่
- ผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน เนื่องจากข้อเท้าต้องรองรับน้ำหนักมากเกินไป
- นักกีฬาหรือผู้ที่ออกกำลังกายหนัก โดยเฉพาะกีฬาที่ต้องกระโดดหรือเปลี่ยนทิศทางเร็ว
- ผู้สูงอายุที่มีปัญหาปวดหัวเข่าหรือข้อเสื่อม
- ผู้ที่มีประวัติบาดเจ็บบริเวณข้อเท้าหรือมีปวดสะโพกร่วมด้วย
แนวทางการรักษาอาการปวดข้อเท้า
การรักษาอาการปวดข้อเท้ามีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของอาการ การรักษาแบ่งออกเป็น 4 วิธีหลัก โดยส่วนใหญ่จะเริ่มจากวิธีที่ไม่กระทบต่อร่างกายหรือไม่ต้องผ่าตัดก่อน
1. บรรเทาอาการปวดเบื้องต้น
การพักข้อเท้าและหลีกเลี่ยงการลงน้ำหนักเป็นขั้นตอนแรก การประคบเย็นช่วยลดอาการอักเสบ ควรใช้ผ้าพันประคองข้อเท้าเพื่อลดการขยับ และยกข้อเท้าสูงกว่าระดับหัวใจเมื่อนอนพัก วิธีนี้ช่วยลดอาการบวมและปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. การใช้ยา
ยาแก้ปวดและต้านการอักเสบ เช่น พาราเซตามอลหรือไอบูโปรเฟน สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดและลดการอักเสบได้ แต่ควรใช้ตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อป้องกันผลข้างเคียง เช่น แผลในกระเพาะอาหาร หรือไตเสื่อม
3. กายภาพบำบัด
กายภาพบำบัดช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นรอบข้อเท้า การทำแบบฝึกหัดควรอยู่ภายใต้การดูแลของนักกายภาพบำบัดที่มีประสบการณ์ เพื่อป้องกันการบาดเจ็บซ้ำ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มาใช้บริการคลินิกกระดูกและข้อ
4. ผ่าตัด
การผ่าตัดเป็นทางเลือกสุดท้ายสำหรับผู้ป่วยที่อาการรุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีอื่น ปัจจุบันมีเทคนิคการผ่าตัดด้วยกล้องส่องที่ทำให้แผลเล็กและฟื้นตัวเร็วกว่าการผ่าตัดแบบเปิด ซึ่งเหมาะสำหรับกรณีที่มีปัญหาภายในข้อเท้าที่ซับซ้อน
วิธีดูแลตัวเองเพื่อห่างไกลอาการปวดข้อเท้า
การป้องกันเป็นสิ่งสำคัญในการลดความเสี่ยงของการเกิดอาการปวดข้อเท้า
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน เนื่องจากน้ำหนักเกินจะเพิ่มแรงกดทับที่ข้อเท้า
- เลือกสวมรองเท้าที่มีส้นต่ำ พื้นรองเท้านุ่ม และขนาดพอดีกับเท้า
- ยืดกล้ามเนื้อและอบอุ่นร่างกายก่อนออกกำลังกายทุกครั้ง
- หลีกเลี่ยงการเดินบนพื้นไม่เรียบหรือกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บ
- เมื่อมีอาการเล็กน้อยควรพักและดูแลทันที ไม่ควรทนหรือเพิกเฉย
สรุปบทความ
ปวดข้อเท้าเป็นปัญหาที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากสามารถส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตได้อย่างมาก การรู้จักสาเหตุ อาการ และวิธีดูแลที่ถูกต้องจะช่วยให้สามารถจัดการกับปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากคุณกำลังประสบปัญหาปวดข้อเท้าเรื้อรัง ไม่อยากผ่าตัด หรือต้องการการรักษาที่ไม่ใช้ยาเคมี ให้มาใช้บริการที่ KLOSS Wellness Clinic ซึ่งเป็นศูนย์รักษาข้อเข่าและกระดูกโดยใช้เซลล์บำบัด พร้อมทีมแพทย์เฉพาะทางที่มีประสบการณ์กว่า 20,000 เคส เพื่อให้คุณกลับมามีชีวิตที่ปกติและมีคุณภาพอีกครั้ง