ปวดเข่า เข่าบวม เกิดจากอะไร พร้อมวิธีรักษาที่คุณควรรู้

ปวดเข่า เข่าบวม เกิดจากอะไร พร้อมวิธีรักษาที่คุณควรรู้

Facebook

คุณเคยรู้สึกไหมมีอาการปวดเข่าและเข่าบวมตามมาทั้งที่ไม่ได้ล้มหรือกระแทกอะไรไหม เข่าบวมอาจเป็นเพียงอาการเล็กน้อย แต่บางครั้งก็เป็นสัญญาณเตือนของปัญหาข้อเข่าที่ซับซ้อนกว่าที่คิด การเข้าใจถึงสาเหตุที่แท้จริง จะช่วยให้เราสามารถรับมือและเข้ารับการรักษาได้อย่างถูกต้องและทันท่วงที เพื่อให้กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ ไร้กังวลเรื่องปวดเข่า เข่าบวม

อาการปวดเข่า เข่าบวมเกิดจากอะไร

เข่าบวม คือภาวะที่มีการสะสมของน้ำหล่อเลี้ยงหรือของเหลวอื่นๆ อยู่ภายในข้อเข่าหรือบริเวณรอบข้อเข่า ซึ่งมักมาพร้อมกับอาการปวดเข่า บางครั้งอาจรู้สึกตึง ร้อน หรือเคลื่อนไหวได้ไม่สะดวก การบวมบ่งบอกถึงการอักเสบหรือความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับโครงสร้างภายในข้อเข่า ไม่ว่าจะเป็นกระดูกอ่อน เอ็น กล้ามเนื้อ หรือเยื่อหุ้มข้อ ซึ่งเป็นกลไกการตอบสนองของร่างกายต่อการบาดเจ็บหรือโรคต่างๆ

ปัจจัยที่ทำให้มีอาการปวดเข่า เข่าบวม

ปัจจัยที่ทำให้มีอาการปวดเข่า เข่าบวม

อาการปวดเข่าและเข่าบวมสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย ตั้งแต่การใช้งานในชีวิตประจำวันไปจนถึงภาวะทางสุขภาพที่ซับซ้อน การทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้เราทราบถึงต้นตอของปัญหาได้อย่างแม่นยำ

1. เข่าบวมจากการบาดเจ็บและอุบัติเหตุ

ส่วนใหญ่แล้ว เข่าบวมมักมีสาเหตุมาจากการบาดเจ็บโดยตรงบริเวณข้อเข่าหรือเนื้อเยื่อรอบๆ จากอุบัติเหตุต่างๆ เช่น การพลัดตก หกล้ม ขับขี่จักรยานยนต์ หรือการกระแทกโดยตรง อุบัติเหตุเหล่านี้สามารถทำให้เกิดการบาดเจ็บของกระดูกอ่อน เอ็น หรือหมอนรองกระดูกฉีกขาด หากมีความรุนแรงมากอาจมีเลือดออกภายในข้อเข่า ซึ่งนำไปสู่เข่าบวมน้ำและอาการปวดเข่าได้

2. เข่าบวมจากการเล่นกีฬา

การเล่นกีฬาเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมสุขภาพที่ดี แต่ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดเข่าบวมได้เช่นกัน โดยเฉพาะกีฬาที่มีการปะทะ การกระโดด หรือการบิดตัวของเข่าบ่อยครั้ง เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล หรือแบดมินตัน การได้รับแรงกระแทกอย่างรุนแรงบริเวณเข่า สามารถทำให้อวัยวะภายในเข่าเกิดการฉีกขาด ได้รับบาดเจ็บจนเกิดการอักเสบ หรือมีเลือดออกภายในข้อเข่า ซึ่งนำไปสู่เข่าบวมและอาการปวดเข่าได้

3. เข่าบวมจากการอักเสบติดเชื้อ

เข่าบวมที่มีสาเหตุมาจากการอักเสบมักเกิดจากการใช้งานเข่ามากเกินไป จนทำให้เกิดอาการปวดเข่าและบวมบริเวณเข่าได้ อย่างไรก็ตาม หากเข่าบวมเกิดจากการติดเชื้อ ถือเป็นอาการที่ร้ายแรง ซึ่งมักมีอาการปวดเข่ารุนแรงและปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ การทานยาแก้ปวดมักไม่ช่วยให้ทุเลา ผู้ป่วยจำเป็นต้องรีบไปพบแพทย์โดยทันที เพราะการติดเชื้อในข้อเข่าอาจนำไปสู่การติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต

4. เข่าบวมจากโรคต่างๆ

ปัจจัยเสี่ยงสุดท้ายที่สามารถทำให้เกิดเข่าบวมอาจมาจากโรคบางชนิดที่ส่งผลกระทบต่อข้อต่อในร่างกาย ดังนี้

  • โรคเกาต์ (Gout): เกิดจากการสะสมของกรดยูริกในข้อต่อ ทำให้เกิดการอักเสบและบวมอย่างรุนแรง มักเป็นที่ข้อใดข้อหนึ่งก่อน เช่น ปวดหัวเข่าข้างซ้าย หรือปวดหัวเข่าข้างขวา
  • โรครูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis): เป็นโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเองที่ส่งผลให้ข้อต่อเกิดการอักเสบเรื้อรัง อาจเกิดกับข้อเข่าทั้งสองข้างพร้อมกัน
  • โรคเกาต์เทียม (Pseudogout): คล้ายกับโรคเกาต์ แต่เกิดจากการสะสมของผลึกแคลเซียมไพโรฟอสเฟตในข้อ ทำให้เกิดการอักเสบและเข่าบวม
  • โรคข้อเข่าเสื่อม (Knee Osteoarthritis): เป็นภาวะที่กระดูกอ่อนผิวข้อสึกหรอไปตามวัยหรือการใช้งานหนัก ทำให้เกิดอาการปวดเข่าและอาจมีเข่าบวมตามมา
  • โรคหมอนรองข้อเข่าฉีกขาด (Meniscus Tear): การบาดเจ็บที่ทำให้หมอนรองกระดูกอ่อนภายในเข่าฉีกขาด ส่งผลให้มีอาการปวดเข่า เข่าบวม และขัดในข้อ
  • โรคภูมิแพ้ตัวเอง (Systemic Lupus Erythematosus, SLE): เป็นโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเองที่สามารถส่งผลกระทบต่อข้อต่อ ทำให้เกิดการอักเสบและบวมตามข้อต่างๆ รวมถึงข้อเข่า

วิธีรักษาอาการปวดเข่า เข่าบวม

วิธีรักษาอาการปวดเข่า เข่าบวม

การรักษาอาการปวดเข่าและเข่าบวมมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับสาเหตุ ความรุนแรงของอาการ และดุลยพินิจของแพทย์ การเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมจะช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วและกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดี

1. รักษาด้วยการใช้ยา

การรักษาอาการปวดเข่าและเข่าบวมด้วยการใช้ยาเป็นวิธีเบื้องต้นที่นิยมใช้ โดยมียาหลายชนิดทั้งยาชนิดทาและยาชนิดรับประทาน ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการปวด ลดการอักเสบ และลดอาการบวมบริเวณเข่าลงไปได้ อย่างไรก็ตาม การใช้ยาเหล่านี้มักเป็นการรักษาตามอาการ ไม่สามารถรักษาต้นเหตุของปัญหาที่เกิดจากการบาดเจ็บหรือการฉีกขาดของเส้นเอ็นภายในข้อเข่าได้ การใช้ยาควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุด

2. รักษาด้วย กายภาพบำบัด

กายภาพบำบัดเป็นวิธีรักษาที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูร่างกาย ให้ข้อเข่ากลับมาใช้งานได้อย่างปกติและแข็งแรงขึ้นหลังจากการบาดเจ็บหรือการอักเสบ นักกายภาพบำบัดจะออกแบบโปรแกรมการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อเข่า เพิ่มพิสัยการเคลื่อนไหว และลดอาการปวด การทำกายภาพบำบัดจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของนักกายภาพบำบัดผู้เชี่ยวชาญ เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

3. รักษาด้วยการฉีดยา

ผู้ป่วยที่มีอาการปวดเข่ารุนแรงและมีเข่าบวมมากสามารถรักษาด้วยการฉีดยา ซึ่งแพทย์อาจใช้กรดไฮยาลูรอนิค (Hyaluronic acid) เพื่อเสริมสร้างน้ำหล่อเลี้ยงข้อ หรือคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) เพื่อลดการอักเสบอย่างรวดเร็ว การรักษาด้วยการฉีดยาช่วยบรรเทาอาการปวดและลดเข่าบวมได้อย่างรวดเร็ว แต่ประสิทธิภาพของยาไม่สามารถอยู่ได้นาน จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการรุนแรงมากหรือไม่สามารถขยับร่างกายได้

4. รักษาด้วยการผ่าตัด

การผ่าตัดข้อเข่ามักเป็นทางเลือกสุดท้ายเมื่อวิธีรักษาอื่นๆ ไม่ได้ผล หรือในกรณีที่มีการบาดเจ็บรุนแรง เช่น หมอนรองกระดูกฉีกขาด ข้อเข่าเสื่อมรุนแรง หรือเอ็นไขว้หน้าฉีกขาด การผ่าตัดมี 2 วิธีหลักๆ คือ การผ่าตัดผ่านกล้อง (Arthroscopic Surgery) ซึ่งเป็นวิธีที่แผลเล็ก ฟื้นตัวเร็ว ช่วยลดโอกาสติดเชื้อและเลือดคั่งในข้อ และการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม (Knee Replacement) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนข้อเข่าเดิมที่เสียหายด้วยข้อเข่าเทียมที่ทำจากวัสดุโลหะผสมที่มีความปลอดภัย การผ่าตัดจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์และความรุนแรงของอาการ

วิธีป้องกันอาการเข่าบวม

การป้องกันย่อมดีกว่าการรักษา การดูแลข้อเข่าอย่างถูกวิธีจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดเข่าบวมและ อาการปวดเข่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ข้อเข่าของเรามีสุขภาพดีและใช้งานได้นาน

  • หลีกเลี่ยงกิจกรรมหรือกีฬาที่มีการปะทะรุนแรง หรือต้องลงน้ำหนักที่เข่ามากเกินไป เช่น ฟุตบอล รักบี้ บาสเกตบอล เพื่อลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บที่อาจนำไปสู่เข่าบวม
  • หลีกเลี่ยงการยกของหนัก เพราะจะทำให้หัวเข่าต้องรับแรงกดทับอย่างมาก หากจำเป็นต้องยก ควรใช้เทคนิคที่ถูกต้องเพื่อกระจายน้ำหนัก
  • หลีกเลี่ยงการยืนเป็นระยะเวลานานๆ หากจำเป็น ควรหาโอกาสนั่งพักเป็นช่วงๆ เพื่อลดภาระการรับน้ำหนักของข้อเข่า
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อการบำรุงกระดูกและข้อ
  • สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์มาตรฐาน ควรออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก เพราะหัวเข่าเป็นจุดที่รับน้ำหนักตัว หากมีน้ำหนักตัวมาก หัวเข่าจะยิ่งรับแรงกระแทกมากตามไปด้วย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของ อาการปวดเข่าและเข่าบวม
  • สำหรับผู้ที่เป็นโรคที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดเข่าบวมเช่น โรคเกาต์ หรือโรครูมาตอยด์ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดและพบแพทย์ตามนัด
  • สวมใส่รองเท้าที่เหมาะสมกับกิจกรรม เพื่อช่วยลดแรงกระแทกที่ส่งผ่านไปยังข้อเข่า และอาจช่วยลด ปวดข้อเท้าที่อาจสัมพันธ์กันได้ด้วย

เข่าบวมแบบไหนที่ควรรีบพบแพทย์

เข่าบวมที่มาพร้อมกับอาการบางอย่างเป็นสัญญาณเตือนว่าควรรีบพบแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุและรับการรักษาที่ถูกต้อง หากมีอาการปวดเข่าอย่างรุนแรงและเฉียบพลัน เข่าบวมแดง ร้อน และกดเจ็บมากไม่สามารถลงน้ำหนักที่เข่าได้ มีไข้ร่วมด้วย หรือเข่าบวมและมีปวดสะโพกหรือขาหนีบร่วมด้วย สิ่งเหล่านี้บ่งชี้ถึงภาวะที่อาจเป็นอันตรายและต้องการการดูแลจากแพทย์ คลินิกกระดูกและข้อทันที

สรุปบทความ

ปวดเข่า เข่าบวมไม่ใช่อาการที่ควรมองข้าม เพราะอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงปัญหาที่ซับซ้อนภายในข้อเข่า ไม่ว่าจะเป็นการบาดเจ็บ การใช้งานหนัก หรือโรคประจำตัว การรู้เท่าทันสาเหตุและเข้ารับการรักษาอย่างถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญ 

หากคุณกำลังมีอาการปวดเข่าเรื้อรัง เข่าบวมเรื้อรัง ไม่อยากผ่าตัด มีโรคข้อเข่าเสื่อมจากอายุ หรือจากการใช้งานหนัก ลุกนั่งลำบาก ลงน้ำหนักไม่ได้ KLOSS Wellness Clinic คือคลินิกกระดูกและข้อที่พร้อมดูแลคุณ ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ยาวนาน เราเน้นการรักษาแบบไม่ผ่าตัด และให้การดูแลที่เข้าใจปัญหาเฉพาะบุคคล เพื่อให้คุณกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างสบายตัวและมีสุขภาพที่ดี

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

Kloss Wellness Clinic มี 3 สาขา

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save
LOGO KLOSS WELLNESS CLINIC

BOOKING

 กรุณากรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ
กรุณาเลือก Promotions ที่คุณสนใจ
*** สงวนสิทธิ์ 1 คน / 1 สิทธิ์