เคยสงสัยไหมว่าทำไมจู่ ๆ ก็มีอาการปวดหัวเข่า หรือรู้สึกว่าข้อเข่าไม่แข็งแรงเหมือนเดิม ทั้ง ๆ ที่ก็ไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรุนแรงอะไร? อาการปวดหัวเข่า และภาวะเข่าเสื่อม ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในผู้สูงอายุเท่านั้น แต่ยังสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่วัยรุ่นไปจนถึงวัยทำงาน หากคุณกำลังเผชิญกับความไม่สบายตัวนี้ การทำความเข้าใจสาเหตุและวิธีดูแลที่ถูกต้อง จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามเลย
อาการปวดหัวเข่าที่พบได้บ่อย
อาการปวดหัวเข่า สามารถแสดงออกได้หลากหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละรูปแบบก็บ่งบอกถึงปัญหาที่แตกต่างกัน การสังเกตอาการอย่างละเอียดจะช่วยให้เราเข้าใจความผิดปกติเบื้องต้น และเป็นข้อมูลสำคัญในการวินิจฉัยเพื่อวางแผนการรักษาได้อย่างตรงจุดที่สุด
ปวดระหว่างมีการขยับหรือใช้งาน
อาการปวดหัวเข่าในลักษณะนี้มักจะเกิดขึ้นเมื่อเรามีการเคลื่อนไหว ลงน้ำหนัก หรือทำกิจกรรมบางอย่างเท่านั้น เช่น การเดิน การขึ้นลงบันได หรือการยืนนาน ๆ หากได้นั่งพักหรือนอนพัก อาการปวดจะทุเลาลงหรือหายไป อาการแบบนี้บ่งชี้ว่ามีความผิดปกติกับโครงสร้างบางตำแหน่งของข้อเข่าที่ต้องรับแรงหรือใช้งานในจังหวะที่มีการเคลื่อนไหว เช่น ผิวข้อเข่า หรือหมอนรองข้อเข่า (Meniscus)
ปวดเฉพาะตอนขยับแรก ๆ
คุณอาจมีอาการปวดหัวเข่าอย่างรุนแรงในช่วงแรกที่เริ่มขยับ เช่น หลังตื่นนอนตอนเช้า หลังจากลงจากรถ หรือหลังจากนั่งทำงานนาน ๆ พอลุกขึ้นยืนก็เจ็บเข่า แต่เมื่อได้ขยับไปสักพัก อาการปวดจะค่อย ๆ ทุเลาลง อาการเหล่านี้มักเกิดจากกล้ามเนื้อหรือเส้นเอ็นที่ตึงตัว เนื่องจากไม่ได้ขยับร่างกายเป็นเวลานาน เมื่อเริ่มเคลื่อนไหวจะรู้สึกปวด แต่พอขยับไปสักพัก ความตึงของกล้ามเนื้อลดลง อาการปวดก็จะค่อย ๆ ดีขึ้น
ปวดตลอดเวลา
หากคุณมีอาการปวดหัวเข่าอย่างต่อเนื่อง แม้ในขณะพักผ่อนหรือนอนหลับ นั่นอาจเป็นสัญญาณของการอักเสบที่รุนแรงขึ้น และมีปริมาณสารอักเสบสะสมอยู่ในข้อเข่าค่อนข้างมาก อาการปวดประเภทนี้มักจะมาพร้อมกับอาการเข่าบวม แดง และร้อน ซึ่งสามารถสังเกตได้ง่าย ๆ ด้วยการสัมผัสเปรียบเทียบกับเข่าอีกข้างที่ปกติ โรคที่มักทำให้เกิดอาการปวดตลอดเวลา ได้แก่ เข่าเสื่อมระยะสุดท้าย โรครูมาตอยด์ โรคเกาต์ หรือข้อเข่าอักเสบติดเชื้อ
ปวดเฉพาะตำแหน่งที่กดโดน
อาการปวดหัวเข่าแบบเฉพาะจุดเมื่อกดลงไปนั้น บ่งบอกถึงรอยโรคหรือพยาธิสภาพเฉพาะตำแหน่งนั้น ๆ ซึ่งอาจเกิดจากการบาดเจ็บเล็กน้อย การเคล็ด หรือการอักเสบของเส้นเอ็น เช่น IT Band (Iliotibial Band) ที่อยู่ด้านนอกเข่า เอ็นข้างเข่า (MCL LCL) ซึ่งมักทำงานหนักเวลาออกกำลังกาย จะปวดชัดเจนเมื่อถูกกด แต่ในการใช้งานทั่วไปอย่างการนั่ง ยืน เดิน หรือนอน อาจมีอาการปวดน้อยหรือไม่ปวดเลยแ
สาเหตุของอาการปวดหัวเข่า ข้อเข่าเสื่อม
อาการปวดหัวเข่า และภาวะข้อเข่าเสื่อม สามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งจากความเสื่อมตามธรรมชาติและการใช้ชีวิตประจำวัน การทำความเข้าใจสาเหตุเหล่านี้ จะช่วยให้เราสามารถดูแลและป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การใช้งานมากเกินไป
การใช้งานขาและหัวเข่าผิดท่า หรืออยู่ในท่าทางที่ไม่เหมาะสมเป็นเวลานาน เช่น การยืนนาน ๆ การยกของหนักบ่อย ๆ การขึ้นลงบันไดเป็นประจำ การก้มยกของ รวมถึงกิจกรรมที่มีแรงกดต่อข้อเข่ามาก ๆ เช่น การนั่งยอง คุกเข่า นั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิ ล้วนเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดการอักเสบและการเสื่อมสภาพของข้อเข่าได้เร็วขึ้น
อายุเพิ่มมากขึ้น
เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดของภาวะเข่าเสื่อม เมื่ออายุมากขึ้น กระดูกอ่อนผิวข้อ กล้ามเนื้อ และเส้นเอ็น รวมถึงเส้นประสาทต่าง ๆ ย่อมเสื่อมสภาพลงตามกาลเวลา โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปอาจเริ่มมีภาวะข้อเข่าเสื่อม ส่วนผู้ที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไป มักจะเริ่มมีอาการปวดหัวเข่า และเข้าสู่ภาวะเข่าเสื่อม ได้ชัดเจนขึ้น
กรรมพันธุ์
จากการศึกษาพบว่าหากคนในครอบครัวหรือญาติพี่น้องมีประวัติเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม บุคคลนั้นก็มีโอกาสที่จะเป็นโรคนี้ได้มากขึ้นเช่นกัน ซึ่งเกิดจากการส่งต่อยีนที่ควบคุมการสร้างคอลลาเจน โดยคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบสำคัญของกระดูกอ่อน
น้ำหนักตัว
น้ำหนักตัวที่มากเกินไป หรือภาวะอ้วน เป็นปัจจัยสำคัญที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคข้อเข่าเสื่อม เร็วขึ้นอย่างมาก เพราะทุก ๆ 0.5 กิโลกรัมของน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น จะเพิ่มแรงกระทำต่อหัวเข่ามากถึง 1-5 กิโลกรัม ขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่ทำ นอกจากนี้ เซลล์ไขมันที่มากเกินไป สามารถผลิตและหลั่งสารเคมีที่กระตุ้นการอักเสบซึ่ง ส่งผลกระทบต่อเซลล์กระดูกอ่อนและเซลล์กระดูก ทำให้ข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้นอีกด้วย
การบาดเจ็บ
การเคยได้รับบาดเจ็บหรือประสบอุบัติเหตุที่ข้อเข่า ไม่ว่าจะเป็นการหกล้ม การเล่นกีฬาที่ทำให้เข่าบิด กระดูกบริเวณข้อเข่าหัก หรือมีเลือดออกในข้อเข่า ล้วนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอาการปวดหัวเข่า และเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะข้อเข่าเสื่อมในอนาคตได้ รวมถึงการบาดเจ็บเรื้อรังจากการทำงานหรือกีฬาที่มีแรงกระแทกสูงก็เป็นอีกปัจจัยที่พบบ่อย
การนั่งผิดท่าเป็นเวลานาน
การนั่งในท่าที่ไม่เหมาะสมเป็นประจำ หรือนั่งท่าเดิมซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน ทำให้กล้ามเนื้อขา เอ็น และข้อต่อต่าง ๆ ต้องทำงานหนักเกินไป ซึ่งนำไปสู่การอักเสบและเกิดอาการปวดหัวเข่า ซึ่งหากปล่อยไว้นานอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อโครงสร้างของข้อเข่าในระยะยาวได้ เช่น การนั่งยอง ๆ หรือการนั่งขัดสมาธินาน ๆ
การสวมรองเท้าที่ไม่เหมาะสม
รองเท้าที่ไม่พอดีกับรูปเท้า ไม่มีพื้นรองเท้าที่นุ่มและยืดหยุ่นเพียงพอ หรือรองเท้าที่ใช้ไม่เหมาะสมกับกิจกรรมที่ทำ อาจเป็นอีกหนึ่งสาเหตุของอาการปวดหัวเข่า เพราะจะทำให้การกระจายน้ำหนักลงบนข้อเข่าไม่สม่ำเสมอ เกิดแรงกดทับมากเกินไป จนเพิ่มความเสี่ยงต่ออาการปวด การบาดเจ็บ และการสึกหรอของกระดูกอ่อนที่รองรับน้ำหนัก รวมถึงอาจทำให้ปวดข้อเท้าร่วมด้วยได้
การสวมรองเท้าที่ไม่เหมาะสม
แม้ปวดหัวเข่าจะเป็นอาการที่พบได้บ่อย และบางครั้งอาจบรรเทาได้ด้วยการดูแลตนเองเบื้องต้น แต่ก็มีสัญญาณเตือนบางอย่างที่เราไม่ควรมองข้าม และควรรีบเข้าพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างทันท่วงที ก่อนที่ปัญหาจะลุกลามและส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันในระยะยาว
ปวดรุนแรงแม้ไม่ได้เคลื่อนไหว
หากคุณมีอาการปวดหัวเข่าอย่างรุนแรง แม้ในขณะที่อยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้มีการเคลื่อนไหว หรือเมื่อเคลื่อนไหวและลงน้ำหนักแล้วอาการปวดยิ่งทวีความรุนแรง นั่นอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการอักเสบสะสมอย่างรุนแรงภายในข้อเข่า ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์เพื่อหาสาเหตุและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
ปวดและมีอาการบวมแดง
อาการปวดหัวเข่าร่วมกับการมีอาการ เข่าบวม แดง ร้อน ถือเป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งชี้ถึงการอักเสบอย่างรุนแรงของกระดูก เส้นเอ็น หรือเนื้อเยื่อโดยรอบข้อเข่า โดยอาจมีเลือดออกภายในข้อเข่าได้ ซึ่งในบางรายอาจมีไข้ร่วมด้วย กรณีเช่นนี้ควรรีบพบแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับข้อเข่าในระยะยาว
ไม่สามารถงอเข่าได้สุด
เมื่อมีอาการปวดหัวเข่าร่วมกับอาการปวดร้าวลงไปที่ขา ไม่สามารถงอเข่าได้สุด หรือมีอาการเดินและยืนลำบาก อาการเหล่านี้อาจบ่งชี้ได้ว่ามีสิ่งผิดปกติขัดขวางการเคลื่อนไหวภายในข้อเข่า เกิดจากการอักเสบของกล้ามเนื้อตรงข้อพับเข่า หรือเกิดภาวะข้อเข่าเสื่อม ในระดับที่รุนแรง ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้อาจส่งผลกระทบต่อการทรงตัว และความสามารถในการเดินในอนาคตได้
วิธีป้องกันอาการปวดหัวเข่า
การป้องกันเป็นสิ่งที่ดีที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอาการปวดหัวเข่า และภาวะเข่าเสื่อม ที่อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว การดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดความเสี่ยงและคงสภาพความแข็งแรงของข้อเข่าให้อยู่กับเราไปนาน ๆ
- หลีกเลี่ยงการบาดเจ็บ: ระมัดระวังในการเล่นกีฬาหรือทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูงต่อการบาดเจ็บข้อเข่า หากมีอาการบวมหรือปวดจากการใช้งาน ควรหยุดพักและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทันที
- ออกกำลังกายอย่างถูกวิธี: เสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อรอบข้อเข่าและข้อต่ออย่างสม่ำเสมอ โดยเลือกประเภทการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับวัยและสภาพร่างกาย หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่หนักหรือมีแรงกระแทกสูงเกินไป
- ควบคุมน้ำหนัก: การรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะน้ำหนักตัวที่ลดลงจะช่วยลดแรงกดทับที่กระทำต่อข้อเข่าได้อย่างมหาศาล ทำให้ลดความเสี่ยงต่ออาการปวดหัวเข่า และข้อเข่าเสื่อมได้เป็นอย่างดี
- เลือกสวมรองเท้าที่เหมาะสม: สวมใส่รองเท้าที่นุ่มสบาย มีการรองรับแรงกระแทกและน้ำหนักได้ดี เพื่อช่วยลดแรงกระแทกที่ส่งผ่านไปยังข้อเข่าขณะเดินหรือทำกิจกรรม
- ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ: ทำการยืดเหยียดกล้ามเนื้ออย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะหลังการออกกำลังกาย เพื่อช่วยคลายความตึงของกล้ามเนื้อ ลดอาการปวด และช่วยให้การเคลื่อนไหวของข้อเข่าเป็นไปอย่างราบรื่น
- ปรับท่าทางการนั่งและยืน: ฝึกท่านั่งและท่ายืนให้ถูกต้องตามหลักสรีรศาสตร์ เพื่อลดแรงกดทับที่ไม่จำเป็นบนข้อเข่า หลีกเลี่ยงการนั่งยอง ๆ การนั่งพับเพียบ หรือการนั่งขัดสมาธิเป็นเวลานาน
สรุปบทความ
อาการปวดหัวเข่า และภาวะข้อเข่าเสื่อม เป็นปัญหาที่กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของใครหลายคนอย่างมาก แม้จะป้องกันได้ในระดับหนึ่ง แต่หากมีอาการเรื้อรัง หรือมีสัญญาณเตือนที่ควรพบแพทย์ ก็ไม่ควรรอช้า การดูแลตัวเองด้วยการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และช่วยบำรุงหัวเข่า หรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างอาจช่วยได้
แต่หากคุณกำลังมีอาการปวดเข่าข้างเดียว ปวดเรื้อรัง มีข้อเข่าเสื่อมจากอายุ หรือใช้งานหนัก ลุกนั่งลำบาก เข่าบวม ลงน้ำหนักไม่ได้ และไม่อยากผ่าตัด คลินิกกระดูกและข้อ KLOSS Wellness Clinic พร้อมดูแลทุกปัญหาข้อเข่าของคุณ เราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกายภาพบำบัด และการฟื้นฟูสุขภาพข้อเข่า โดยเน้นการรักษาแบบไม่ผ่าตัด ด้วยทีมแพทย์เฉพาะทางที่มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 8 ปี เราดูแลคนไข้มาแล้วกว่า 20,000 เคส ที่นี่เข้าใจปัญหาข้อเข่าเสื่อมตามวัย หรือจากการใช้งานหนัก และพร้อมวางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล เพื่อให้คุณกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขอีกครั้งA