ปัญหาเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ  สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงอายุของผู้ชาย แต่พบได้บ่อยขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น โดยอัตราการเกิดปัญหานี้จะเพิ่มขึ้นตามอายุ ดังนี้:

• อายุต่ำกว่า 40 ปี: ประมาณ 5-10% ของผู้ชายในกลุ่มนี้อาจพบปัญหา ED โดยเฉพาะหากมีปัจจัยเสี่ยง เช่น ความเครียด หรือการใช้ชีวิตที่ไม่ดีต่อสุขภาพ
• อายุ 40-70 ปี: มีผู้ชายประมาณ 40% ที่ประสบปัญหา ED ระดับหนึ่ง ซึ่งอาจมีความรุนแรงแตกต่างกันไป
• อายุมากกว่า 70 ปี: มากถึง 70% ของผู้ชายในกลุ่มนี้อาจประสบปัญหา ED เนื่องจากการเสื่อมสภาพของร่างกายและปัจจัยทางสุขภาพ

แต่สภาวะนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะอายุ แต่อาจเกิดจากปัจจัยต่างๆ ด้วยเช่นกัน ปัญหานี้สามารถเกิดจากหลายสาเหตุ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ สาเหตุทางร่างกายและสาเหตุทางจิตใจ

สาเหตุทางร่างกาย:

1.โรคหัวใจและหลอดเลือด: การไหลเวียนของเลือดที่ไม่ดีอาจทำให้เลือดไปหล่อเลี้ยงอวัยวะเพศไม่เพียงพอ
2.ความดันโลหิตสูง: ความดันที่สูงสามารถส่งผลกระทบต่อระบบหลอดเลือด ทำให้มีปัญหาในการแข็งตัว
3.เบาหวาน: ทำลายเส้นประสาทและหลอดเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงอวัยวะเพศชาย
4.ฮอร์โมนไม่สมดุล: โดยเฉพาะระดับฮอร์โมนเพศชายที่ต่ำ
5.ปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาท: โรคเช่น พาร์กินสัน หรือโรคเส้นเลือดในสมอง
6.การใช้ยา: บางประเภทของยา เช่น ยาลดความดัน ยารักษาโรคซึมเศร้า สามารถมีผลข้างเคียงที่ส่งผลต่อสมรรถภาพทางเพศ
7.การสูบบุหรี่หรือการดื่มแอลกอฮอล์: เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดปัญหาเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ

สาเหตุทางจิตใจ:

1.ความเครียด: สถานการณ์ทางอารมณ์และความเครียดส่งผลโดยตรงต่อสมรรถภาพทางเพศ

2.ภาวะซึมเศร้า: อาจทำให้ความต้องการทางเพศลดลงและทำให้การแข็งตัวเกิดได้ยาก

3.ปัญหาในความสัมพันธ์: ความตึงเครียดระหว่างคู่รักหรือการขาดความมั่นใจในตนเอง

4.ความวิตกกังวลในการทำหน้าที่: เมื่อผู้ชายกังวลเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์หรือกลัวว่าจะล้มเหลว

ซึ่งสาเหตุเหล่านี้ ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ  (Erectile Dysfunction – ED)  แต่ไม่ใช่ปัญหาที่ไม่สามารถรักษาได้ ในปัจจุบันมีวิธีการรักษาหลากหลายที่สามารถช่วยปรับปรุงสมรรถภาพทางเพศได้ ขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิด เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ  (Erectile Dysfunction – ED) วิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพและใช้กันอย่างแพร่หลาย